จุตามรอยเจ้ายี่พระยามาถึงตอนที่ ๔ แล้ว พบว่าจากความสัมพันธ์ของโบราณสถาน จากศิลปกรรมภายในวัดต่างๆ มันเชื่อมโยงระหว่างเมืองดงคอนมาถึงเมืองแพรกศรีราชา ตามประวัติศาสตร์ที่จดบันทึก ทำให้เรารู้ว่าเมืองแพรกศรีราชา เป็นบ้านเป็นเมืองมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตอนปลาย แต่จุเชื่อว่าการสร้างบ้านแปลงเมืองนี้สืบต่อวัฒนธรรมมาจากบ้านเมืองสมัยทวารวดี-ลพบุรีจากเมืองดงคอนอย่างที่เรารู้กันว่า สมัยก่อน การสัญจรทางน้ำมีความสำคัญ การเกิดเมืองแพรกศรีราชาจึงสัมพันธ์กับเส้นทางของแม่น้ำ ลำคลองสายต่างๆ โดยจะเห็นว่า ลำแม่น้ำน้อย ที่ผ่านเมืองแพรกศรีราชานั้นไม่เคยหมดความสำคัญลงไป จนกระทั่งเราเสียกรุงศรีฯเมืองแพรกศรีราชา เป็นเมืองชุมชนทางน้ำที่สามารถเดินทางลงมาตามลำน้ำน้อยที่ไปรวมกับลำน้ำเจ้าพระยาในเขต จ.ชัยนาทก็ได้ หรือเดินทางตามลำคลองบัวไปยังลำน้ำท่าจีนหรือสุพรรณบุรีก็ได้ ทั้งตำแหน่งของเมืองแพรกศรีราชาก็ยังแวดล้อมไปด้วยบ้านเมืองเก่าแต่สมัยทวารวดี-ลพบุรี ตั้งแต่นครสวรรค์และชัยนาทลงมา ทั้งเมืองบน (พยุหะคีรี) เมืองล่างอู่ตะเภา (ชัยนาท) ภาพที่จุมองเห็นในขณะนี้คือ ...เมืองนี้...ใหญ่และมีความสำคัญจริงๆ น่าเสียดายที่มันถูกลืมเลือนไปพร้อมกับความเจริญที่ย้ายถิ่นไปตามยุคสมัยวัดสุดท้ายที่จุจะพาไป เพื่อตอกย้ำให้เห็นความต่อเนื่องของยุคสมัย คือ วัดสองพี่น้อง วัดแห่งนี้ถูกตีความผิดเพี้ยน บ้างก็ว่าเป็นวัดของเจ้ายี่พระยา กับพระยาแพรก พี่น้องกัน? (อันที่จริงน่าจะเป็นลุงกับหลาน) ประวัติความเป็นมาของวัดนี้ยังคลุมเครืออยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ปูนปั้นของเจดีย์องค์ใหญ่ ที่ชาวบ้านเรียกว่าองค์พี่ นั่นคือ ศิลปะปูนปั้นที่บ่งบอกถึงยุคสมัยอโยธยา-อู่ทอง อย่างแท้จริง ส่วนองค์น้อง หรือเจดีย์องค์เล็กนั้น ถูกบูรณะจนผิดรูป และตามตำแหน่งจุมอบว่า มันน่าจะเป็นเจดีย์รายมากกว่าจะเป็นเจดีย์องค์พี่องค์น้อง.... แต่ประวัติศาสตร์ไทยนั้นถูกบอกเล่าในหลายรูปแบบ และรูปแบบที่นิยมกันคือ ตำนาน ซึ่งการบอกเล่าเรื่องราวสถานที่ต่างๆ ผ่านตำนานนั้น ยากแก่การตีความอย่างยิ่ง เหมือนกับวัดสองพี่น้องแห่งนี้อย่างไรก็ตาม วัดสองพี่น้องนี้ได้ตอกย้ำว่า เมืองนี้มีมาก่อนอยุธยาแน่ๆ และเพราะความสำคัญนี้ ทางกรุงศรีฯ จึงได้ส่งพระโอรสมาครองฯ หนึ่งในนั้นคือ เจ้ายี่พระยา