ก่อนอารยธรรมใด ๆ ในโลกจะเกิดขึ้น มีตำนานเกี่ยวกับเมืองแห่งหนึ่ง ที่มีอายธรรมที่ก้าวหน้า มีรัฐบาล มีการค้ากับเมืองอื่น มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะที่เรียกกันว่า “เกาะแอตแลนติส” แต่จู่ ๆ เกาะแห่งนี้ก็ถูกทำลายลง จนหายไปจากโลก ราวกับไม่เคยมีเกาะแห่งนี้ จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา จึงเริ่มมีคนสนใจมากขึ้น และได้มีการค้นหาเกาะแอตแลนติสอย่างจริงจัง หลายคนอยากรู้ว่าแอตแลนติสนี้มีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแนวความเชื่อ เช่น ชาวแอตแลนติสคือผู้สอนชาวอียิปต์สร้างพีระมิด, ชาวแอตแลนติสมีทั้งคอมพิวเตอร์และการสื่อสารที่ทันสมัย รวมทั้งความเชื่อที่ว่าชาวแอตแลนติสมาจากจักรราศีอื่น ภาพ : www.pixabay.comเรื่องราวของแอตแลนติสนั้น มาจากเพลโต โดยในราวปี 360 ก่อนคริสตกาล เพลโตยอดปรัชญาชาวกรีกได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับทวีปแอนแลนติสขึ้นมา 2 เล่ม ในชื่อว่า Timaeus และ Critias โดยเพลโตทราบเรื่องของแอตแลนติส จากนักบวชชาวอียิปต์ ในหนังสือใช้วิธีเล่าเรื่องแบบบทสนทนาโต้ตอบกัน ซึ่งต่อมาหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ได้กลายเป็นแผนที่ในการค้นหาตำแหน่งของทวีปแอตแลนติส ในบันทึกของเพลโตได้กล่าวไว้ว่า มหานครแอตแลนติสนั้นเป็นที่ราบที่อุดมสมบูรณ์ มีพระราชวังอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยทะเลและแผ่นดิน มีขนาดใหญ่โต แอตแลตติสนั้นถูกสร้างโดยทายาทของเทพเจ้ากรีกโพไซดอน เป็นเมืองที่สวยงามและสงบสุขมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ผู้คนในเมืองมีคุณธรรมและวิทยาการขั้นสูงเพลโตได้บรรยายเกี่ยวกับแอตแลนติสไว้อีกว่า “ทวีปแอตแลนติส ตั้งอยู่ด้านหน้าช่องแคบที่เรียกกันว่า “เสาแห่งเฮราคลีส pillars of Heracles” โดยเชื่อกันว่าสถานที่แห่งนั้นน่าจะหมายถึงช่องแคปยิบรอลตาร์ หน้าปากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในปัจจุบัน โดยมีหมู่เกาะที่อยู่ใกล้ ๆ เช่น หมู่เกาะคะแนรี่ และอะโซร์ส เป็นความหวังในการค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติสที่หายสาบสูญ แต่บางคนก็เชื่อกันว่าแอตแลนติสน่าจะอยู่ในที่ไกลออกไป เช่น แอนตากติกา ทะเลจีนไต้ ไอซ์แลนด์ สเปน ทวีปอเมริกา เทือกเขาแอนดิส และก้นทะเลสาบในสาธารณรัฐโดมินิกันชาวแอตแลนติสแต่เดิมนั้นมีคุณสมบัติแบบเทพเจ้า ที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ทว่าเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติของมนุษย์เข้าครอบงำ พวกเขาจึงเปลี่ยนไป ทั้งกระหายสงคราม นิยมความรุนแรง และโลภมาก หลังจากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง และเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ มหานครแอตแลนติสจึงจมหายลงไปในก้นมหาสมุทร ภาพ : www.pixabay.comในปัจจุบันมีผู้ที่พยายามค้นหาหลักฐานของมหานครแอตแลนติสมากมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายคน หลายกลุ่ม ที่เชื่อว่ามหานครแอตแลนติสนั้น อาจจะเป็นแค่จินตนาการของเพลโต ที่ได้ทำการแต่งเติมเข้าไป เพื่อให้แอตแลนติสนั้นเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม มากกว่าคำบอกเล่าของนักบวชชาวอียิปต์นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ค้นหาผู้ที่รอดชีวิตจากการล่มสลายของแอตแลนติสในครั้งนั้น โดยพวกเขามุ่งความสนใจไปที่อารยธรรมอียิปต์ ซึ่งผู้ที่เชื่อได้บอกไว้ว่าชาวแอตแลนติสที่รอดชีวิต อาจจะเป็นผู้ถ่ายทอดวิทยาการขั้นสูง ให้กับชาวอียิปต์ในการสร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมา โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่อลังการและตระการตา เช่น พีระมิด วิหาร สฟิงซ์ และการเคลื่อนย้ายก้อนหินที่หนักกว่า 150 ตัน นอกจากนี้ยังมีการคำนวณการก่อสร้างที่ซับซ้อน มีการคำนวณเหลี่ยมมุมที่ได้องศาพอดีกัน โดยในตอนนั้นอียิปต์ไม่น่าจะมีเครื่องไม้เครื่องมือหรือภูมิความรู้ ที่สามารถสร้างได้ขนาดนี้นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่าชาวแอตแลนติส มีส่วนกับการก่อสร้างสุดอลังการอีกหลายอย่าง เช่น ปราสาทนครวัดในกัมพูชา รูปสลักหินบนเกาะอิสเตอร์ในทะเลแปซิฟิก ไปจนถึงอารยธรรมของชาวมายาในเม็กซิโก ในเม็กซิโกเองก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าเคราขาว ที่เดินทางมาจากทะเลที่ห่างออกไปแสนไกล บางทีเทพเจ้าเคราขาวในตำนานของชาวเม็กซิโก อาจจะเป็นชาวแอตแลนติสก็เป็นไปได้นอกจากนี้ยังมีบางแนวคิดที่คิดว่า แอตแลนติสเป็นสวนอีเดน ซึ่งสวนอีเดนนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นรากเหง้าของทุกอารยธรรมโบราณ และยังเป็นต้นกำเนิดของเทพเจ้ากรีกอีกด้วย ในยุคต้นของปี ค.ศ.1990 แนวคิดเรื่องแอตแลนติสได้รับความสนใจในเยอรมัน จนมีการส่งคณะออกค้นหาทั่วโลก เกี่ยวกับที่ตั้งของชนเผ่าอารยัน พวกเขาเชื่อว่าที่ตั้งของชนเผาอารยันก็คือแอตแลนติสนั่นเอง โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นำกองทัพเยอรมัน ได้สั่งฝูงบินให้ออกตามหาแอตแลนติสอีกด้วยแต่ถึงแม้มนุษย์จะค้นหาแอตแลนติสนานแค่ใหน แต่ข้อมูลของแอตแลนติสนั้นกลับมีเพียงน้อยนิด จนกระทั่งมีคนทรงเจ้าคนหนึ่ง เขาอ้างว่าได้นิมิตเห็นทวีปหนึ่ง ที่เกิดการแบ่งแยกแผ่นดินจนเหลือเพียงหมู่เกาะ ในทะเลแคริบเบียน ประชากรของที่นั่นสร้างผลึกพลังงานขึ้นมา แต่เกิดความร้อนที่สูงเกินไป จนกระทั่งเกิดการระเบิด และทำให้ทั้งเกาะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรคนทรงเจ้ายังได้กล่าวถึงสฟิงซ์ เขาบอกว่าสฟิงซ์ สร้างขึ้นเมื่อราว 1000 ก่อนคริตกาล ชาวแอตแลนติสที่เป็นผู้สร้างสฟิงซ์นั้นได้ซ่อน Hall of Records ไว้ไต้ฐานสฟิงซ์ ซึ่ง Hall of Records จะรวบรวมภูมิปัญญาและประวัติศาสตร์ของชาวแอตแลนติสไว้ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งล้ำค่ามาก ภาพ : www.pixabay.comในปี 1995 ฟิเดล คาสโตร ได้มีการสำรวจซากเรือสเปนที่อับปาง เพื่อหาสมบัติและของมีค่า แต่เหล่านักสำรวจกลับพบโครงสร้างลึกลับ ที่เป็นเหมือนกับฐานของสิ่งก่อสร้าง กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้างใต้มหาสมุทร ซึ่งรูปแบบการจัดเรียงนั้นน่าจะมาจากฝีมือของมนุษย์ มากกว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างแน่นอนตามบันทึกโบราณ ของคนในอเมริกากลาง ได้มีตำนานของนักเดินเรือผิวขาว มาเยือนพวกเขา พวกเขาคิดว่านักเดินเรือที่มาเยือนนั้นคือเทพเจ้า แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันบันทึกนี้ ต่างกับอียิปต์ที่มีไฮเออโรกรีฟ บนกำแพงของวิหาร ที่เป็นหลักฐานและเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าครั้งหนึ่งเคยมีสิ่งที่แตกต่างจากพวกเขา มาเยือนแผ่นดินอียิปต์ สังเกตได้จากภาพที่ดูคล้ายกับเครื่องบิน เรือดำน้ำ บนผนังกำแพง อาจจะเป็นไปได้ที่ชาวแอตแลนติสสอนชาวอียิปต์ในการสร้างพีระมิดและสฟิงซ์หลายคนที่เชื่อเกี่ยวกับตำนานของมหานครแอตแลนติส ต่างมุ่งความสนใจไปที่อารยธรรมของอียิปต์ และหนึ่งในสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของนักเดินทาง คือวิหารเอ็ดฟู ซึ่งสร้างขึ้นราว 57 ปีก่อนคริตกาล โดยสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพฮอรัส และบนกำแพงของวิหารยังได้จารึกประวิติศาสตร์เอาไว้ ผู้ที่มาเยือนต่างเชื่อว่านี่คือหลักฐานที่ยืนยันได้ถึงการมีอยู่จริงของแอตแลนติส โดยภาพสลักบนกำแพงนั้น มีรูปที่ดูคล้ายกับสิ่งที่เกินกว่าวิทยาการในสมัยนั้นจะสร้างได้และจินตนาการถึงพวกเขายังเชื่ออีกว่า สฟิงซ์ และพีระมิด น่าจะเป็นมากกว่าอนุสาวรีย์ หรือสุสาน แต่ยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าครั้งหนึ่งชาวแอตแลนติส เคยมาอาศัยอยู่ในอียิปต์ นักอียิปต์วิทยาบางคนยังเชื่อว่าสฟิงซ์สร้างในเวลาไล่เลี่ยกับพีระมิด ราว 2500 ปีก่อนคริสตกาล แต่ความเชื่อดังกล่าว จะสวนทางกับความเชื่อเรื่องที่ผู้สร้างสฟิงซ์ซ่อน Hall of Records ไว้ไต้ฐานสฟิงซ์หลังจากสร้างเสร็จราว 1000 ปีก่อนคริสกาลแต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กลับไม่คิดแบบนั้น พวกเขาเชื่อว่าแอตแลนติสนั้น น่าจะเป็นแค่เรื่องเล่า ซึ่งมีที่มาจากอดีต หรือมีคนบางกลุ่มที่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลโต ในการสร้างแอตแลนติสขึ้นมา โดยสถานที่ที่เพลโตกล่าวถึงว่าเป็นแอตแลนติสนั้น อาจจะเป็นสถานที่ที่เขาเองคุ้นเคยเรื่องราวของแอตแลนติสนั้น ยังคล้ายคลึงกับเมืองแห่งหนึ่ง ชื่อ ซาโตรินี่ (Santorini) ซึ่งเป็นวิมานเกาะเหนือทะเลเอเจียน ซึ่งมีมาก่อนเพลโตนับร้อยปี เป็นเมืองที่มีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองมาก เป็นสังคมที่ทำการค้าระหว่างเทศ ชาวเมืองมีความเชี่ยวชาญด้านการเดินเรือ มีรัฐบาลกลาง มีกองกำลังเป็นของตนเอง และมีความมั่งคั่ง แต่จู่ ๆ ก็ถูกทำลายด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติใน 3000 – 1100 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมของชาวยุโรปเริ่มต้นจากเกาะกรีซ (Crete) และเกาะซาโตรินี่ (Santorini) พวกเขาถูกเรียกว่าชาวมิโนอัน มีนิสัยรักความสงบ ชอบเล่นกีฬา และสร้างงานศิลปะ ในพระราชวังคนอสซอส บนเกาะกรีซนั้นมีระบบประปา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาวมิโนอัน มีหลายคนที่เชื่อว่าชาวมิโนอัน อาจจะเป็นแรงบันดาลใจของเพลโตในการเนรมิตแอตแลนติสขึ้นมาราว 1640 ปีก่อนคริสตกาล ราว 1300 ปีก่อนที่เพลโตให้กำเนิดแอตแลนติส ได้เกิดการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ จนทำลายเกาะซานโตรินี่ทั้งเกาะ จนอารยธรรมของชาวมิโนอันต้องจมลงสู่ก้นทะเล ภาพ : www.pixabay.comในปี 1939 นักโบราณคดีชาวกรีก ได้เริ่มโครงการขุดส่วนหนึ่งของเกาะซานโตรินี่ เพื่อค้นหาอารยธรรมของชาวมิโนอันที่หายสาบสูญ และพวกเขาก็เจอเมืองที่ถูกฝังใต้เถ้าของภูเขาไฟจริง ๆ เมืองที่ถูกรักษาไว้ใต้เถ้าของภูเขาไฟคือเมืองอโครติรี (Akrotiri) ซึ่งเป็นเมืองที่มีความล้ำสมัยมาก มีบ้านและโกดังไว้เก็บพืชผลทางการเกษตร เก็บไวน์ อย่างเป็นสัดส่วน บนฝาผนังก็มีภาพวาดระบายสีตกแต่งอย่างสวยงาม อโครติรีนั้นถูกทำลายลงภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน จากการระเบิดที่รุนแรงของภูเขาไฟ จากหลักฐานที่ขุดค้นเจอ เมืองอโครติรีนั้นตรงกับที่บรรยายไว้ในหนังสือของเพลโตเป็นอย่างดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อกันว่า เมืองอโครติรีนั้นอาจจะเป็นรากฐานให้กับเพลโตในการเขียนเรื่องของแอตแลนติสในเวลาต่อมาตำนานและเรื่องเล่า อาจไม่ใช่เรื่องที่มาจากจินตาการเท่านั้น แต่มันอาจจะแฝงไว้ด้วยความจริง ที่ยังไม่ถูกค้นพบ เหมือนดังกรณีของการค้นพบเมืองทรอยโบราณในปี ค.ศ 1873 สำหรับแอตแลนติสนั้น ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่มีจริง มันก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก ในการออกตามหาความจริง และผลพวงของการค้นหาแอตแลนติสนั้น อาจจะนำมาซึ่งเมืองโบราณอีกมากมาย ที่ถูกซุกซ่อนไว้ก็เป็นได้ ภาพหน้าปก : www.pixabay.com