ดินองต์ (Dinant) เมืองเล็กที่น่ารักของเบลเยี่ยมตั้งอยู่ทางภาคใต้สามารถเดินทางโดยรถไฟจากบรัสเซลส์ถึงดินองต์ใช้เวลาราวเกือบ 2 ชั่วโมง ถือเป็นเมืองรองที่แม้จะไม่โด่งดังเท่าบรัสเซลส์เมืองหลวงหรือเมืองมรดกโลกอย่างบรู้จส์ (Bruges) หรือเมืองท่องเที่ยวอย่างเก้นต์ (Ghent) แต่ดินองต์ก็สวยงามน่าเที่ยวไม่เป็นรองใครทีเดียว ดินองต์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิวส์ (River Meuse) มีอาคารสีสวยราวกับลูกกวาดขนาบกับสายน้ำ ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงที่ตั้งของป้อมปราการ (เดี๋ยวเราจะพาขึ้นไปชม) ด้านหน้าของผาหินคือโบถส์ Notre Dame ที่ยอดโดมเป็นรูปทรงคล้ายหัวหอมตั้งเด่นเป็นสง่าดูสวยงามราวกับภาพโปสการ์ดจนได้ฉายาเมืองว่าเป็น "ลูกสาวแห่งแม่น้ำมิวส์" เมื่อรถไฟมาถึงสถานี Dinant Gare เราสามารถเดินตรงมายังสะพานได้และเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวที่กระจุกตัวกันอยู่ตรงใจกลางเมืองได้ง่าย ๆ ใช้เวลาครึ่งวันก็เพียงพอ ดินองต์คือเมืองบ้านเกิดของนักประดิษฐ์แซกโซโฟน Mr. Adolphe Sax ซึ่งเขาเกิดที่นี่แต่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส เมื่อมาถึงเมืองนี้เราจะได้พบกับรูปปั้นจำลองแซกโซโฟนขนาดใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ในเมืองจำนวนทั้งสิ้น 28 อัน! ตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟกระจายตามจุดต่าง ๆ เรื่อยมาถึงสะพาน Charles De Gaulle (สะพานแซกโซโฟน) ซึ่งตั้งตามชื่อท่านนายพล Charles De Gaulle อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส แซกโซโฟนเหล่านี้มีสีสันและลวดลายสดใส ตั้งชื่อตามประเทศและเมืองที่สนับสนุนเงินทุนในการก่อสร้าง ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป มีของประเทศจีนด้วย เจ้าแซกโซโฟนยักษ์เหล่านี้ทำให้เราคิดถึงเพลงสากล The One You Love ของ Glenn Frey ที่มีเสียงแซกโซโฟนที่ไพเราะมาก 🎶 ลองฟังกันดูนะคะ https://youtu.be/zz_KWdDK1Ic ดินองต์ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลดนตรีของยุโรปอยู่เนือง ๆ นับว่าเป็นเมืองรวมพลคนดนตรีที่สำคัญอีกหนึ่งเมือง ไปเที่ยวไฮไล้ท์อีกแห่งกันต่อที่ป้อมปราการ (Citadel) ซึ่งตั้งอยู่บนผาหินสูงราว 100 เมตรและมีบันไดชัน 408 ขั้น! แต่คุณยังมีทางเลือกที่จะใช้บริการเคเบิ้ลคาร์ขนาดกระทัดรัดได้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงด้านบน ตั๋วจะขายพ่วงกับค่าชมป้อมปราการ สำหรับช่วงเวลาที่เราไปเยือน (เมษายน 2562) มีนิทรรศการรูปปั้นทราย Disney Sand Magic มาจัดแสดงเราจึงเลือกซื้อตั๋วคอมโบรวม 3 รายการไปเลย ไปสำรวจฝั่งที่เป็นพิพิธภัณฑ์โดยเดินผ่านสวนขนาดย่อมและลอดซุ้มทางเข้าที่แขวนม่านกำมะหยี่สีแดงราวกับเดินเข้าโรงหนัง สุดทางเดินก็จะเจอลานหินกว้างโล่งซึ่งตรงกลางจัดแสดงปืนใหญ่และลูกกระสุนก้อนโต ลักษณะเหมือนสวนหิน รอบบริเวณมีมุมนิทรรศการและร้านขายของที่ระลึกที่มีโต๊ะ 2-3 ตัวให้นั่งพักจิบชากาแฟ เครื่องดื่มแค่ร้านเดียว และมีห้องแสดงเครื่องแต่งกายและอาวุธของทหารโบราณที่บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ทว่าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อีกแห่งกลับน่าสนใจมากโดยเราต้องเดินวนลงไปเหมือนหลุดเข้าไปในอดีตเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของป้อมปราการแห่งนี้ สถานที่จัดทำได้ดีมากมีการจัดแสงสีเสียงและวางข้าวของและป้ายคำอธิบายพร้อมบริการออดิโออย่างลงตัง ทั้งยังออกแบบเส้นทางเดินที่ดึงให้เราเดินทางเข้าสู่อดีตย้อนกลับไปอยู่ในแต่ละช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น ๆ เมื่อเดินผ่านแต่ช่วงเวลาไฟที่พื้นก็จะสว่างแสดงปี ค.ศ. ช่วงปีที่มีการสู้รบจะได้ยินเสียงผู้คนต่อสู้กัน สองข้างทางจัดวางรูปทหารพร้อมอาวุธ เดินต่อไปก็จะได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด ตามด้วยภาพคนบาดเจ็บล้มตายและเสียงร้องไห้ระงม ที่พีคสุดคือบางช่วงเราต้องเดินฝ่าความมืดสนิทเพราะเราได้ย้อนเวลามาถึงช่วงที่ป้อมโดนถล่ม คนที่อยู่รอดและติดอยู่ในป้อมก็ต้องซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดไม่เห็นแสงเดือน แสงตะวันหรือแม้แต่แสงไฟ นับเป็นการเดินทางที่เราได้สัมผัสกับหลากหลายอารมณ์มาก ๆ ชอบจัง! ต่อจากนี้เราขอพาไปชมนิทรรศการ Disney Sand Magic Dinant ซึ่งจัดแสดงในช่วงที่เราไปเยือน ตัวละครของดิสนีย์ถูกปั้นด้วยดินทรายสวยงามน่ารักมาก มีรูปปั้นมิกกี้เม้าส์กับแซกโซโฟนด้วย รูปปั้นงดงามทุกตัวไม่ว่าจะเป็นคู่พระนาง ตัวตลกหรือตัวร้าย การจัดแสงและไฟก็ทำได้สวยงามลงตัว วนไปสำรวจอีกด้านที่เชื่อมไปยังทางออกเพื่อนั่งกระเช้ากลับ บริเวณฝั่งนี้ก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้เขียวขจีเช่นกัน มีคาเฟ่เรียงรายให้บริการอาหารและเครื่องดื่มทั้งในร้านและตรงลานด้านนอก ใกล้ ๆ กันมีเครื่องบินรบเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ของเบลเยี่ยมตั้งตระตระหง่านอยู่ โซนนี้มีนักท่องเที่ยวหนาตาหน่อยช่วยตอกย้ำว่าดินองต์นั้นเป็นเมืองรองที่ต้องห้ามพลาด อันที่จริงยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีก อาทิ บ้านของ Adolphe Sax ที่ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์และโปรแกรมล่องเรือเที่ยวชมเมือง คุณสามารถศึกษาข้อมูลท่องเที่ยวดินองต์และเบลเยี่ยมได้ที่ http://tiny.cc/22i4nz และ www.visitbelgium.com ขากลับเราเดินจากสถานีเคเบิ้ลคาร์ แวะเก็บภาพที่ท่าเรือริมน้ำและสำรวจร้านขนมสวย ๆ เดินเรื่อย ๆ ข้ามสะพานเดิมและผ่านแซกโซโฟนนับสิบอีกครั้ง แวะทักทายรูปปั้นท่าน Charles De Gaulle ตรงหัวสะพานแล้วเดินมุ่งสู่สถานีรถไฟกลับบรัสเซลส์โดยต้องเปลี่ยนขบวนที่เมืองนามัวร์ (Namur) ซึ่งล่าสุดนามัวร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองน่าเที่ยวของยุโรปประจำปี 2563 (European Best Destinations 2020) เสียดายที่ครั้งนั้นเราไม่ได้แวะเที่ยวนามัวร์ หากใครจะจัดทริปมาเที่ยวดินองต์ ขอแนะนำให้วางแผนเที่ยวนามัวร์เมืองมรดกโลกพ่วงไปด้วยเพราะอยู่ในเส้นทางผ่าน พวกเราลงความเห็นกันว่าโปรแกรมเที่ยวดินองต์ครั้งนี้ช่วยเติมเต็มทริปเบลเยี่ยมของเราได้เยี่ยมมาก🎷 ภาพถ่ายทั้งหมดโดยนักเขียน