ช่อฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องลำยอง ประดับบริเวณเหนือจั่ว จุดสูงสุดของอาคาร โดยเฉพาะอาคารในพุทธศาสนามีหลายรูปแบบ เช่น ช่อฟ้าปากปลา ช่อฟ้าปากครุฑ ช่อฟ้าหัวนกเจ่า ช่อฟ้าล้านนาดั้งเดิม ช่อฟ้าปากครุฑ ตามคติ “ครุฑยุดนาค” จากวรรณคดีมหาภารตยุทธ ของศาสนาพรามหณ์-ฮินดู สู่สถาปัตยกรรมในพุทธศาสนาของไทยเหตุจากผู้หญิงทิ้งดอกไม้ จนพิภพเกิดโกลาหลรูปแบบของช่อฟ้าปากครุฑ ที่เป็นที่นิยมในภาคกลางของไทย ประกอบด้วย ช่อฟ้า สื่อถึงตัวพญาครุฑใบระกา สื่อถึงปีกและขนของครุฑหางหงส์ เป็นรูปหัวพญานาค ทั้งหมดอยู่ในท่าทาง เสมือน พญาครุฑกำลังสยายปีกจับหางพญานาคชูขึ้นแล้วทำไมครุฑต้องจับพญานาค?และท่าทางการจับพญานาคแบบนี้มีที่มาอย่างไร?• ช่อฟ้าปากครุฑ วัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ขอเล่าเรื่องราวโดยย่อ ย้อนไปตั้งแต่เหตุการณ์ก่อนการ "กวนเกษียรสมุทร"เมื่อพระอินทร์เสด็จลงจากสวรรค์ ได้พบฤาษีทุรวาสผู้ได้รับดอกไม้สักการะจากพระนางปาราวตี (เมียพระศิวะ)ฤาษีเห็นว่า ถ้าพระอินทร์มาเห็นตนคล้องดอกไม้เมียพระศิวะ คงไม่เหมาะจึงถวายดอกไม้สักการะนั้นแก่พระอินทร์ พระอินทร์รับแล้วส่งต่อให้พระศจีชายาด้วยกลิ่นของดอกไม้ทำให้พระชายาวิงเวียนจึงทิ้งดอกไม้ไปต่อหน้าฤาษีเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจจึงสาปพระอินทร์และบริวารให้กำลังฤทธิ์เดชอ่อนลงเมื่อพระอินทร์อ่อนกำลังลง อสูรจึงหึกเหิมยกทัพบุกสวรรค์ สงครามครั้งนี้พระอินทร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพื่อให้ฟื้นคืนกำลัง พระอินทร์จึงคิดที่จะปรุงน้ำอมฤต โดยการกวนเกษียรสมุทรพระนารายณ์เสด็จมาเป็นองค์ประธานเหล่าเทวดาหลอกล่ออสูรให้มาช่วย จนได้น้ำอมฤต โดยมีสิ่งวิเศษ 14 อย่างออกมาก่อนหน้า หนึ่งในนั้นคือ "ม้าอุจไฉยศรพ"ซึ่งพระอินทร์รับไว้เป็นพาหนะของตน โดยมอบให้สุริยเทพผู้เป็นข้ารับใช้• ช่อฟ้าปากปลา วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง มีลักษณะจงอยปากเชิดขึ้น อีกฟากหนึ่งของพิภพ....พระทักษะปชาบดี ยกลูกสาว 13 คนให้ พระกัศยปมุนีเทพบิดร นางวินตา และ นางกัทรุ คือ 2 คนในนั้นและชิงดีชิงเด่นกันตลอดมานางกัทรุ ขอพรจากสามี ขอให้ได้ลูกเป็น นาค 1,000 ตัว นางวินตา ขอพรให้ได้ลูกเพียง 2 องค์แต่ให้มีฤทธิ์เหนือกว่าลูกนางกัทรุ นางจึงคลอดบุตรเป็นไข่ 2 ฟอง...500 ปีผ่านไป นางวินตาทนไม่ไหวจึงทุบไข่ฟองหนึ่งจึงกำเนิดเป็นเทพบุตรครึ่งองค์ นามพระอรุณเทพบุตรเทพบุตรโกรธแม่ตัวเอง ที่ทำให้เกิดมาไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่ครบกำหนด จึงสาปแม่ตัวเองให้ตกเป็นทาสของนางกัทรุ แล้วพระอรุณ ก็ทิ้งแม่ตัวเองไปเป็นสารถีบังคับม้าอุจไฉศรพ ให้พระอาทิตย์วันหนึ่ง นางวินตาและนางกัทรุ ท้าพนันสีม้า (ม้าอุจไฉยศรพ) ของพระอาทิตย์ว่าเป็นสีอะไร ถ้าใครทายผิด คนนั้นต้องเป็นทาสของอีกฝ่ายนางวินตา ทายว่าสีขาว ส่วนนางกัทรุ ทายว่าสีดำความจริงม้าอุไฉยศรพ เป็นม้าสีขาว แต่นางกัทรุนัดแนะพระอรุณ ให้ลูกนาคของตนเข้าไปแทรกที่ขนของม้า (บ้างก็ว่าพ่นพิษ) จนทำให้ม้าเป็นสีดำ นางวินตาไม่รู้อุบาย จึงตกเป็นทาสนางกัทรุ 500 ปี• ช่อฟ้าหัวพญานาค วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปางเมื่อครบกำหนด 1,000 ปี ไข่อีกฟองลูกของนางวินตาก็ฟักออกมา มีชื่อเรียกว่า "เวนไตย" แปลว่าบุตรนางวินตา มีลักษณะ ครึ่งคน ครึ่งนก ร่างกายใหญ่โต มีฤทธิ์เป็นอันมาก จนเหล่าเทวดาเดือดร้อนขอให้ลดขนาดลงเมื่อวินไตย รู้ว่าแม่โดนโกงจนตกเป็นทาส จึงไปคุยกับนางกัทรุ นางกัทรุเสนอให้ เวนไตย ไปเอาน้ำอมฤตของพระอินทร์มาให้ จึงจะปลดปล่อย นางวินตาจากการเป็นทาสเวนไตย รับคำ จึงเดินทางไปเอาน้ำอมฤต นางวินตา บอกลูกชายว่า ถ้าหิวระหว่างทางให้กินแต่คนป่า คนเถื่อนเท่านั้นแม้เวนไตยจะรับคำผู้เป็นแม่ แต่ก็กินไม่อิ่มจนไปพบ เต่า(นาม วิภาวสุ) และช้าง (นาม สุปรติกะ) ซึ่งทั้ง 2 ตัวเคยเป็นอสูรแต่ทะเลาะกัน จนต้องคำสาปของแต่ละฝ่ายเวนไตยหอบเต่า และ ช้างที่มีขนาดใหญ่นี้ ไปเกาะไว้บนกิ่งไทรขนาดมหึมา ที่มีฤาษีแคระขนาดเท่านิ้วมืออาศัยอยู่ทำให้กิ่งไทรหัก เวนไตยจึงเอาเท้าจับกิ่งไทรนั้นไว้ เพื่อช่วยฤาษี โดยนำไปไว้ที่เขาเหมกูฏด้วยความมีจิตใจดีต่อฤาษี ฤาษีจึงตั้งขื่อใหม่ให้ว่า "ครุฑ" แปลว่า ผู้รับภาระอันหนัก พร้อมประทานพรให้ไม่มีผู้ใดรบชนะเวนไตย บินต่อไปยังเทวโลก เพื่อบุกเอาน้ำอมฤตจากพระอินทร์จนต้องสู้รบกับพระอินทร์สู้รบอยู่นาน พระอินทร์ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะเวนไตย ได้พรจากฤาษีแคระแต่เวนไตยเห็นว่า พระอินทร์มีอาวุธเป็นวัชร ที่พระอิศวรประทานให้ จึงถวายความเคารพโดยการสละขน 1 เส้น จึงมีอีกขื่อหนึ่งว่า สุบรรณ• ช่อฟ้าปากครุฑ วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง จ.นครสวรรค์พระนารายณ์เห็นว่าศึกครั้งนี้คงไม่มีใครชนะ จึงเสด็จมาห้ามศึก เวนไตยขอน้ำอมฤต ไปให้เหล่านาคตามคำสัญญา ขอพรให้เป็นอมตะ แม้จะไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตและขอกินนาคเป็นอาหาร พระนารายณ์ให้พรตามที่ขอ แต่ให้กินนาคเฉพาะที่ไม่ใช่เหล่านาคที่เคารพพระนารายณ์และให้ครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์พระอินทร์ยังหวงน้ำอมฤตนั้นเมื่อเวนไตย เอาน้ำอมฤตมาไว้ที่พงหญ้าคา เหล่านาคก็ปล่อยตัวนาควินตาจากการเป็นทาส พระอินทร์จึงรีบเอาน้ำอมฤตกลับไปเหล่านาคเห็นน้ำค้างบนหญ้าคา ก็เข้าใจว่าเป็นน้ำอมฤต (บางตำนานบอก หยดลงหญ้าคาจริง 2-3 หยด, หญ้าคาจึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์) จึงเลียใบหญ้าคา จนลิ้นขาดเป็น 2 แฉกจากนั้นเหล่าครุฑจึงจับนาคกินเรื่อยมาเหล่านาคพยายามหาวิธีไม่ให้ตนเองถูกกินจึงกลืนก้อนหินไว้ ไม่ให้ครุฑจับกินได้โดยง่ายจนทำให้ครุฑหลายตนต้องตายเพราะจมน้ำตายระหว่างจับนาคกินนาคบอกความลับนี้แก่ฤาษีครุฑรู้ความลับนี้ จึงเปลี่ยนวิธีจับนาคกินโดยการจับนาคทางหาง แล้วบินยกขึ้นหางนาคขึ้นสูงทำให้นาคสำรอกก้อนหินออกมาช่อฟ้า-ใบระกา-หางหงส์ จึงมีลักษณะดังที่กล่าวมา นั้นแล (จบ)รูปโดยผู้เขียน