ในยุคทศวรรษที่เพลงส่วนใหญ่เป็นแนวอิเล็กโทร แรป หรือแนวดนตรีสังเคราะห์ หลาย ๆ ท่านคงรู้สึกเริ่มเอียน ไม่ต่างจากการรับประทานข้าวขาหมูที่ไม่มีพริกน้ำส้มซ้ำ ๆ กัน 3 มื้อ หลายท่านก็อยากหวนวันวานกลับไปในยุคที่แจสและโซลรุ่งเรือง วันนี้ผมจึงมีเพลงดี ๆ มาฝากนั่นคือเพลง 'Fly like a bird' ซึ่งขับร้องโดย Mariah Carey (มารายห์ แครี่ย์) เป็นอีกเพลงหนึ่งซึ่งเข้ากับสถานการณ์โลกในตอนนี้อย่างมาก ดังนั้นผมจะมาชำแหละและวิเคราะห์เนื้อหาเพลงไปพร้อม ๆ กันครับ Weeping may endure for a night But joy comes in the morning Trust Himอินโทรเริ่มต้นขึ้นขึ้นโดยเสียงคล้ายบาทหลวงในโบสถ์ โดยกล่าวว่า "เราอาจต้องจมกับความทุกข์ในยามค่ำคืน แต่เชื่อท่าน (พระเจ้า) เถอะ รุ่งเช้าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น" ท่อนนี้เป็นการสะท้อนทั้งความเชื่อและศาสนา อีกทั้งยังเป็นการบอกความรู้สึกและปลอบประโลมว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ดี Somehow I know that There's a place up above With no more hurt and struggling Free of all atrocities and suffering Because I feel the unconditional love From one who cares enough for me To erase all my burdens and let me be free toท่อนต่อมามารายห์เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า "ฉันเชื่อว่าข้างบนนั้น (สวรรค์) เป็นที่ที่ปราศจากความเจ็บปวด ความโหดร้าย รวมถึงการที่ต้องทุกข์ทนทรมาน เพราะฉันรู้สึกได้ว่ามันเป็นสถานที่ที่รักกันแบบไม่มีเงื่อนไข มีคนที่แคร์ฉันมาก ๆ จนสลัดภาระทั้งหมดทิ้งไปจนทำให้ฉันมีอิสระ" จากท่อนนี้ถ้าวิเคราะห์กันดี ๆ มารายห์พยายามที่จะเชื่อมโยงประสบการณ์ของเธอ และพยายามสื่อถึงความวุ่นวายภายในโลกที่ทุกคนต่างหาผลประโยชน์และหาความดีเข้าตัวเอง จนทำให้ความรักนั้นไม่บริสุทธิ์และต้องมีเงื่อนไขอยู่เสมอ Fly like a bird, take to the sky I need you now Lord, carry me high Don't let the world break me tonight I need the strength of you by my side Sometimes this life can be so cold I pray you'll come and carry me homeท่อนฮุคยิ่งเป็นการกล่าวย้ำอีกรอบถึงสถานการณ์ในโลกที่โหดร้ายขึ้นทุกวัน โดยเธอกล่าวว่า "บินเหมือนนก บินขึ้นฟ้าเพื่อไปหาพระเจ้า พาฉันขึ้นไปเถอะ โลกทุกวันนี้ทำร้ายฉันในทุกคืน ฉันต้องการความเข้มแข็ง บางครั้งฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันมันเย็นยะเยือก ฉันภาวนาเสมอให้ท่าน (พระเจ้า) พาฉันขึ้นไปบนฟากฟ้า" Can we recover? Will the world ever be A place of peace and harmony With no war and with no brutality? If we loved each other We would find victory But in this harsh reality Sometimes I'm so despondent that I feel the need toมารายห์บอกเล่าต่ออีกว่า "พวกเรามาช่วยรักษาโลกใบนี้กันได้ไหม ? ทำให้โลกเป็นสถานที่ที่มีความสงบสุขและสามัคคี ไม่มีการสงครามและปราศจากความป่าเถื่อน ถ้าพวกเรารักกัน พวกเราจะเจอชัยชนะ แต่ในความเป็นจริงนั้นฉันก็แอบหมดหวังเหมือนกัน" ท่อนนี้ถือเป็นท่อนที่ค่อนข้างสะท้อนสังคมและอิมแพคมาก ๆ ไม่ต้องมีความหมายลึกซึ้ง เพราะมารายห์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาถึงโลก ณ ปัจจุบัน ที่เกิดสงครามและการชิงดีชิงเด่น มารายห์พยายามที่จะสื่อสารให้ทุกคนทั่วมุมโลกเข้าใจว่า การทำสงครามไม่ได้มีผลดีอะไรเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำยิ่งสูญเสีย วิธีที่จะทำให้โลกสงบสุขได้ดีที่สุดคือความสามัคคีและการปรองดองนั่นเอง He said, “He will never forsake you Or leave you alone” Trust Himเสียงบาทหลวงภายในโบสถ์แทรกเข้ามาอีกครั้ง โดยกล่าวว่า "เขาบอกว่า เขาจะไม่ทิ้งให้เธออยู่อย่างโดดเดี่ยว เชื่อท่านสิ" ท่อนนี้ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกกันลงไป มารายห์อาจต้องการสื่อสารว่า ถึงแม้ความเป็นจริงบนโลกมันจะยากเกินการเยียวยา แต่เธอยังคงศรัทธาในพระเจ้า และเชื่อว่าท่านจะไม่ทอดทิ้งเธอและปล่อยให้โลกวุ่นวายตลอดไป Carry me higher, higher, higher Carry me higher, higher, higher Carry me home, higher, Jesus Just carry me higher Lordท่อนจบเป็นกล่าวว่า "พาฉันขึ้นไปสูง ๆ พาฉันกลับบ้านเถอะท่าน" เป็นการกล่าวย้ำว่าเธอรู้สึกเหนื่อยกับโลกนี้เหลือเกิน และหวังว่าท่าน (พระเจ้า) จะทำให้เธอและโลกปราศจากความวุ่นวายโดยเร็วจากทั้งหมดทั้งมวลของเพลงนี้ ผมวิเคราะห์และตีความเนื้อหาเพลงของมารายห์ได้ว่า เธอนั้นต้องการสื่อสารให้ทุกคนทั่วโลกมองเห็นถึงปัญหาและความวุ่นวายแต่เกิดจากความโลภ การแก่งแย่งชิงดี จนก่อให้เกิดสงครามต่าง ๆ ซึ่งเธอมองว่ามันเป็นความป่าเถื่อนที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เธอพยายามสะท้อนให้เห็นว่า การทำสงครามและการใช้ความรุนแรงไม่ได้ส่งผลดี มีแต่จะทำให้วุ่นวายหนักกว่าเดิม ถ้าพวกเราต้องการความสงบสุขและเกิดตื่นนอนขึ้นมาพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ ความสามัคคีนั่นเอง ฟังเพลงได้ที่ : Youtubeเครดิตภาพภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพหน้าปก