Good Luck...and Don't F**k It Up ได้ยินประโยคนี้ทีไรถึงกับสะดุ้งเฮือก เพราะนั่นหมายว่าผู้เข้าแข่งที่กำลังอยู่ปากเหวนั้นจะต้องลิปซิงก์ฟาดฟัน ประชันฝีมือกันอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะให้ตัวเองได้อยู่ในรายการต่อไป หลายคนคงสงสัยแล้วสิว่าผมกำลังพูดถึงรายการอะไร ทำไมต้องมีการลิปซิงก์แข่งกันด้วย มันเป็นรายการประเภทไหนกันแน่?ขอบคุณรูปภาพจาก Official Twitter : RuPaul's Drag Race รายการที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ ก็คือรายการเรียลิตี้การแข่งขันขวัญใจ LGBTQ+ ชื่อดังอย่าง "RuPaul's Drag Race" ซึ่งเป็นการนำเอาตัวแม่ Drag Queen จากทั่วทุกสารทิศในอเมริกาที่ผ่านการออดิชัน มาแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่ง America's Next Drag Superstar พร้อมของรางวัลและเงินสดมูลค่ารวมกว่าแสนดอลลาร์! โดยมีเจ้าของรายการที่พ่วงตำแหน่ง Host ประจำรายการนั่นก็คือ RuPaul ตัวแม่แห่งวงการ Drag Queen และตอนนี้รายการก็ได้ดำเนินความสนุกสนานมาอย่างต่อเนื่องจนถึงซีซันที่ 12 กันแล้ว ซึ่งความพิเศษของซีซันล่าสุดก็คือการได้ตัวแม่ Queen of Rap อย่าง Nicki Minaj มาเป็นแขกรับเชิญสุดพิเศษในเปิดตัวของซีซันนี้ ต่อจาก Lady Gaga ในซีซัน 9, Christina Aguilera ในซีซัน 10 และ Miley Cyrus ในซีซัน 11 อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นรายการยังได้รับรางวัล Emmy Awards ต่อเนื่องกันถึงสองปีซ้อน แถมยังมีลิขสิทธิ์รายการในประเทศไทยอย่าง Drag Race Thailand และในอังกฤษอย่าง RuPaul's Drag Race UK อีกด้วยขอบคุณรูปภาพจาก Official Twitter : RuPaul's Drag Raceขอบคุณรูปภาพจาก Official Fanpage : Drag Race Thailand ซึ่งรูปแบบรายการนั้นจะเป็นการให้สาวๆ Drag Queen กว่า 10 ชีวิตมาร่วมแข่งขันกันทำภารกิจประจำสัปดาห์ โดยมีทั้ง Mini Challenge, Maxi Challenge, Runway Challenge โดยผู้ที่ชนะในแต่ละสัปดาห์ก็จะได้รางวัลเป็นของตอบแทน และที่ห้ำหั่น ดุเดือดที่สุดก็คงเป็นช่วงการคัดออกหรือการ Lip Sync For Your Life ของผู้ที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในสัปดาห์นั้นๆ ซึ่งผู้ที่แพ้ในการลิปซิงก์ก็จะถูกคัดออกและต้องแพ็คกระเป๋ากลับบ้านไป จนเหลือ 4 คนสุดท้ายที่จะเข้าไปชิงตำแหน่ง America's Next Drag Superstar ในรอบ Finaleขอบคุณรูปภาพจาก Official Fanpage : World of Wonderทำไมถึงอยากให้ดู? ผมให้เหตุผลหลักๆไว้ 8 ข้อ ดังนี้ครับ1. ทำเข้าใจศิลปะที่มีชีวิตอย่าง Drag Queen มากขึ้น หลายคนที่ไม่เคยดูรายการนี้มาก่อนอาจจะไม่รู้จักว่า Drag Queen คืออะไร เป็นใคร ซึ่งถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ Drag Queen ก็เหมือนกับนางโชว์ของบ้านเรา แต่จะมีความพิเศษกว่าในเรื่องการแต่งหน้า ทำผม และตัวตนข้างในของพวกเขาเหล่านั้นซึ่งรายการจะช่วงให้รู้จักความเป็น Drag Queen มากขึ้น2. ทำเข้าใจกลุ่มเพศทางเลือกหรือ LGBTQ+ มากขึ้น ผู้เข้าแข่งในรายการล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ ทั้งสิ้น ซึ่งเราจะได้ฟังเรื่องราวชีวิต การเป็นอยู่ และผลกระทบที่พวกเขาได้รับจากสังคมในการเป็น LGBTQ+ ว่ามันหนักหนาแค่ไหน3. สนุกไปกับการแสดงของเหล่า Drag Queen รายการนี้ค่อนข้างดังมากในอเมริกา สามารถสร้างโปรไฟล์การทำงาน เพิ่มค่าตัว และทำให้ผู้เข้าแข่งขันมีชื่อเสียงมากขึ้น ฉะนั้นผู้เข้าแข่งขันทุกคนมักจะเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม หรือแม้แต่การเพอร์ฟอร์มที่ค่อนข้างจัดเต็มไม่มีกั๊ก ทำให้เรารู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างมาก4. กรรมการรับเชิญสุดพิเศษ กรรมการรับเชิญแต่ละสัปดาห์นั้นก็จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ซึ่งบางคนก็มักจะมาร่วมทำภารกิจร่วมกับเหล่าผู้เข้าแข่งขัน หรือมีบ้างที่แอบไปเซอร์ไพรซ์ พูดคุยกับผู้เข้าแข่งขันทางด้านหลังฉาก5. ลิปซิงก์มันหยด สำหรับ Drag Queen นั้น การลิปซิงก์ถือเป็นงานหลักของพวกเขาเลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นลิปซิงก์เพื่อเอาชีวิตรอดจากการคัดออกอีกด้วย ฉะนั้นการลิปซิงก์ในแต่ละครั้งจะเป็นอะไรที่สนุกขั้นสุดแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน6. สนุกไปกับการจิกกัด และดราม่า ด้วยความกดดันระหว่างการแข่งขัน ทำให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันมักจะมีการจิกกัดและมีดราม่ากันสนุกๆ ชวนติดตามให้เห็นกันอยู่เสมอ แต่ไม่ถึงขั้นตบตีกันหรือทะเลาะกันใหญ่โตแบบเป็นเรื่องเป็นราว7. ความตลก เฮฮาของเหล่าควีน ผู้เข้าแข่งขันมักจะสร้างความตลก เฮฮากันทั้งจากคำพูด ท่าทาง หรือความอ๊องของเหล่าผู้เข้าแข่งขัน ทำให้คนดูอย่างเราหัวเราะตามอยู่เสมอๆ8. Quote of the day รายการมักจะให้คำพูดสอนใจแก่เหล่าผู้เข้าแข่งขันเสมอ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นคำพูดเตือนสติ เตือนใจให้เราได้ขอบคุณรูปภาพจาก Official Fanpage : RuPaul's Drag Raceเป็นอย่างไรกันบ้างครับกับรายการ "RuPaul's Drag Race"ถ้าใครสนใจก็สามารถติดตามข่าวสารหรือรับชมรายการได้ตามช่องทางด้านล่างนี้เลยครับLine TVNetflix ซึ่งสามารถรับชมผ่านกล่อง True ID TV ได้แล้วนะครับVH1Wow Presents PlusFacebookTwitter