สวัสดีค่ะ เราคือ Wild Walk Stories วันนี้เราจะพาไปเที่ยวชลาคารอีกแห่ง ที่งดงามมากๆ ในรัฐคุชราช ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ตอนนี้ถือเป็นตอนที่สองนะคะ ต่อจากตอนแรกเรื่อง ชลาคาร ขุมอำนาจแห่งอินเดียตะวันตก ตอน: สระเมียหลวง ห่างไป 19 กิโลเมตรจากเมืองอามดาบัดในรัฐคุชราช ทางตะวันตกของอินเดีย มีสระน้ำแห่งหนึ่งที่มีความงดงามมาก แต่เหนือกว่าความงดงามนั้นคือตำนานความรักเบื้องหลังการสร้างชลาคารแห่งนี้ค่ะ เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อน ที่เมืองดานดัย เดช (Dandai Desh) หรือที่รู้จักกันในนามของ “อดาลัช” (Adalaj) ในปัจจุบัน ได้เกิดทุพภิกขภัยขึ้น ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสจากการขาดน้ำกินน้ำใช้ รานา เวีร์ย ซิงค์ (Rana Veer Singh) ผู้เป็นเจ้าเมืองจึงทำการขุดสระขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บน้ำจากตาน้ำเอาไว้ค่ะ แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ข้าศึกยกทัพมาประชิดในยามที่เมืองนี้กำลังอ่อนแอ กษัตริย์รานาจำเป็นต้องออกรบ ทั้งๆที่ยังสร้างชลาคารแห่งนี้ไม่เสร็จ และพระองค์ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมา กษัตริย์ รานา เวีร์ย ซิงค์ สิ้นพระชนม์ในสนามรบ รานี รุดาไบ (Rani Roodabai) ราชินีม่ายของกษัตริย์ รานา หญิงงามผู้มีรักให้พระสวามีแต่เพียงพระองค์เดียว ก็เตรียมตัวเข้าพิธีสตี ซึ่งเป็นพิธีในศาสนาฮินดู ที่ภริยาจะเดินเข้ากองไฟฆ่าตัวตายตามสามีไป เพราะไม่ต้องการจะมีรักใดเหลือให้ชายอื่น แต่เพราะความงดงามในสามโลกของพระนาง ทำให้สุลต่าน โมฮาเมด เบ็คดา (Mahamed Begda) ตกหลุมรักทันทีเมื่อแรกพบ ท่านพยายามยื้อยุดฉุดรั้งพระนางเอาไว้ไม่ให้เข้าพิธีสตี และยื่นข้อเสนอให้พระนางอยู่ครองรักครองราชร่วมกับพระองค์ รานี รุดาไบ จึงขอให้สุลต่านสร้างชลาคารแห่งนี้ให้สำเร็จก่อนค่ะ นางจึงจะยินยอมมอบกายให้พระองค์ ด้วยแรงปรารถนา สุลต่านโมฮาเม็ด กวาดต้อนช่างฝีมือเยี่ยมจากทุกๆ ที่มาทำงานที่สระอดาลัช เร่งวันเร่งคืนให้สระแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว เพื่อพระองค์จะได้ตัวรานี รุดาไบ สมใจ ว่ากันว่าชลาคารแห่งนี้มีช่างชั้นเอกห้าคน เป็นผู้รังสรรค์สระแห่งนี้ให้งดงามไม่มีที่ติ จนเมื่อสุลต่านโมฮาเม็ดมาเห็นเข้าก็ชื่นชมยิ่งนัก ท่านให้เรียกตัวนายช่างทั้งห้าคนมาเฝ้า ตรัสชื่นชมผลงานก่อนถามว่า “ถ้าข้าให้พวกเจ้าสร้างชลาคารให้งดงามแบบนี้ขึ้นอีกสักแห่ง พวกเจ้าจะทำได้ไหม” นายช่างทั้งห้ารีบตอบอย่างมั่นใจว่า “จะให้พวกข้าพเจ้าสร้างสระแบบนี้ขึ้นมาอีกสักกี่สระก็ได้พระเจ้าค่ะ” นายช่างทั้งห้าถูกนำไปประหารโดยทันที เพราะความใจแคบและโหดเหี้ยมของพระองค์ สุลต่านโมฮาเม็ดไม่ต้องการให้มีชลาคารอื่นใด ได้เทียบเทียมความงามกับสระอดาลัชที่ทรงสร้าง จนวันที่ชลาคารถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ ภาระกิจของพระสวามี ได้ถูก รานี รุดาไบ สานต่อจนบรรลุเป้าหมายแล้ว สุลต่านโมฮาเมดก็มาทวงคำสัญญาที่พระนางเคยให้ไว้ แต่พระนางก็ขอเวลาอีกวันสองวัน แล้วก็เดินทางไปที่ชลาคาร เพื่อทำพิธีชำระล้างบาปไปรอบๆ ก่อนจะกระโดดลงไปในสระฆ่าตัวตาย ใจรักนั้น มีได้ใจเดียว เกียรติและศักดิ์ศรีนั้น รานี รุดาไบ ไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำ ความตาย จึงเป็นทางออกแต่เพียงทางเดียว อดาลัช จึงเป็นชลาคารแห่งความรักค่ะ เพราะในทุกอณูของอาคารแห่งนี้ เราจะสัมผัสได้ถึงความรัก การแต่งงาน และชีวิตคู่ ที่แฝงเอาไว้ในรูปสลักต่างๆ ภายในอาคาร และในงานออกแบบสถาปัตย์ เน้นย้ำอยู่ตลอดเส้นทางเข้าสู่สระภายใน และการเดินทางเข้าสู่สระน้ำ ก็คือการเดินทางเข้าสู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิของพระผู้เป็นเจ้า เพราะการก่อสร้างชลาคารแห่งนี้กถูกริเริ่มโดยษัตริย์ฮินดู รานา เวีร์ย ซิงค์ แต่การก่อสร้างและตกแต่งถูกจัดการโดยสุลต่าน โมฮาเม็ด เบ็คดา ชาวมุสลิม สถาปัตยกรรมของที่นี่จึงงดงามอย่างมีเอกลักษณ์ เกิดเป็นรูปแบบเฉพาะของทางอินเดียตะวันตกที่เรียกว่า Indo Sarasenic โดยงานสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลังการเข้ามายึดครองดินแดนแถบนี้โดยพวกมุสลิม จึงเป็นสถาปัตยกรรมในศาสนาอิสลามโดยใช้ช่างฮินดู ที่มีงานแกะสลักที่อ่อนหวานชดช้อย กว่างานสถาปัตยกรรมอิสลามในส่วนอื่นๆ ของอินเดียนะคะ อดาลัช เป็นชลาคารที่ลึกพอๆ กับตึกห้าชั้น และมีบ่อน้ำภายในสองบ่อค่ะ ปากทางเข้ามีบันไดล้อมสามด้าน นำเข้าสู่ตัวอาคารและลึกลงไปสู่สระน้ำในชั้นล่างสุด เส้นทางเดินลงไปสู่เบื้องล่างบริเวณสระน้ำ ถูกออกแบบให้ผู้เข้ามาใช้รู้สึกถึงการเดินทางที่เข้าไปใต้พิภพ สู่ดินแดนอันศักสิทธิ์ของเมืองบาดาล ด้วยแสงที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามความลึกของอาคาร และอุณหภูมิที่ค่อยๆ เย็นลง ยิ่งทำให้ผู้เข้ามาชมสัมผัสได้ถึงความขลังของสถานที่ ในชั้นแรกของชลาคาร หากเรามองเข้าไปถึงผนังด้านในสุด เราจะเห็นซุ้มเล็กๆ ประดับอยู่ค่ะ ภายในแกะสลักเป็นรูปพระพิฆเนศ ผู้เป็นเทพของการเริ่มต้น อันหมายถึงการแต่งงานที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ ในชั้นนี้ลึกเข้าไปด้านขวาบนผนัง ยังมีซุ้มประดับรูปพระศักติ ที่มักจะมีประชาชน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานมาบูชาเสมอ เพราะพระศักตินั้นคือปางหนึ่งของพระมหาอุมาเทวีค่ะ เป็นภาคของความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และการอุทิศตน ส่วนผนังด้านซ้ายก็จะมีซุ้ม ภายในแกะสลักเป็นรูปหม้อน้ำทั้งเก้า แทนภาคต่างๆ ของพระศักติเทวี และยังเป็นสัญลักษณ์ของโลกบาดาลอีกด้วยค่ะ ตามยอดเสาและขอบคานต่างๆ ถูกแกะสลักอย่างละเอียดบรรจง ถึงแม้ลวดลายที่แกะสลักส่วนใหญ่จะเป็นลวดลายเถา ดอกไม้ หรือเรขาคณิต ตามคติของงานแกะสลักในศาสนาอิสลาม ที่ไม่นิยมให้มีรูปแกะสลักหรือรูปเคารพของคนหรือสัตว์ใดๆ แต่บนคานบางชิ้นเราจะเห็นงานแกะสลักรูปการกวนเกษียรสมุทร อันมีพระวิษณุผู้เป็นสวามีของพระศักติเป็นประธานค่ะ เมื่อเดินทางมาถึงชั้นล่างสุด ก็จะเห็นรูปปลาแกะสลักอยู่บนผนัง เป็นการย้ำเตือนถึงการเดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นของเมืองบาดาลค่ะ บริเวณสระนี้ถูกเปิดโล่งจากชั้นบนสุดถึงตาน้ำเบื้องล่าง มันถูกออกแบบมาเพื่อแสดงถึงเส้นทางที่เชื่อมต่อกันของทั้งสามโลก คือสวรรค์ (ท้องฟ้าเหนือสระ) พิภพ (พื้นโลกทางลงสระ) และบาดาล (สระน้ำภายใน) สระน้ำอันเขียวครึ้มจากตะไคร่ที่ขึ้นอยู่รอบๆ บริเวณ และแสงที่ส่องจากฟากฟ้าเหนือสระน้ำ ยิ่งทำให้สระน้ำนี้ดูศักสิทธิ์ ถึงแม้ว่าวันนี้ที่ก้นสระจะไม่เหลือน้ำอยู่แล้วก็ตาม อดาลัช ไม่ได้เป็นแค่ชลาคารที่กักเก็กน้ำในสมัยโบราณนะคะ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เกียรติ และศักศรี แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่า รานี คิ วาว แห่งเมืองปาทานที่เป็นมรดกโลก แต่อดาลัชก็มีความสำคัญ ในฐานะรอยต่อของความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะ เกิดเป็นรูปแบบที่ไม่เหมือนใครค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังมีหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เพิ่งก้าวผ่านประตูวิวาห์ มาเยี่ยมชมและขอพระจากเทพเจ้าอยู่เสมอนะคะ โดยเห็นได้จากรอยพิมพ์รูปมือสีแดงของเจ้าสาวทั้งหลายผู้มาเยือน ประทับรอยไว้บนผนังบริเวณทางลงสระ รอยพิมพ์สีแดงนั้นคือแป้งฝุ่นสีแดงที่เจ้าสาวจะทาบนมือและเท้าก่อนเข้าพิธีวิวาห์นั่นเอง หากใครมีโอกาสไปเที่ยวรัฐคุชราช อย่าลืมแวะไปชมชลาคารแห่งนี้กันนะคะ ที่นี่เป็นอาคารที่ฝรั่งให้การยกย่องมาก ว่าเป็นที่สุดแห่งหนึ่งของการออกแบบทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะเรื่องการใช้พื้นที่ แสง และสัญลักษณ์ ใครที่สนใจด้านสถาปัตย์ บอกเลยค่ะว่าห้ามพลาด หนังสื้ออ้างอิง Concepts of Space in Traditional Indian Architecture, Yatin Pandya, หน้า40-54 ภาพประกอบทั้งหมดโดย Wild Walk Stories สนใจเรื่องราวสนุกของการท่องเที่ยว ติดตามเราได้บนเฟซบุ้คที่เพจ Wild Walk Stories ค่ะ https://www.facebook.com/wildwalkstories/