ผมเคยบอกแม่ว่า “ผมอยากเป็นนักดนตรีครับ” ตอนยังหัวเกรียนอยู่ ม.2 ผมก็เลยโดนแม่มองด้วยตาขวางใส่ ท่านทรงกริ้วคิ้วขมวดแต่ก็ยั้งระงับอารมณ์ไว้ แม่เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “มันจะดีหรือลูก” เออนั่นเดะ ผมก็คิดในใจแล้วแหละว่า น่าจะไม่รอด อาชีพนี้ไม่ดังไปเลยมันก็เน่าไปเลย และด้วยความเป็นลูกชนชั้นกลาง เทคโนโลยียังกากอยู่ ก็เลยไม่เสี่ยงถือเป็นการดีแต่ด้วยความดื้อด้าน ผมจึงแงะกระปุกออมสินรูปรถบัส ทุบพังกุญแจโซ่ออกมาด้วยความรุนแรง เอาตังประมาณสองพันบาทที่เก็บมาแรมปี ไปซื้อกีตาร์มาเล่นจนได้รูปภาพจาก pixabayเย่! ผมได้กีตาร์มาแล้ว! จำได้ว่าอยากจะเล่นดนตรีมาตั้งแต่ ม.1 แล้ว เพราะดูคอนเสิร์ตที่โรงเรียนแล้วมันจัด ได้ปลดปล่อยกระโดดโยกจนหัวเกือบหลุด ช่วงนั้นพี่ตูนบอดี้แสลมไปร้องที่ราชมังด้วยโคตรไอดอลเราเลย แถมยังมีหนังเรื่อง Suckseed มาจุดกระแสอีก ความร็อกจึงเข้าสิง! เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนนี่ตั้งวงดนตรีกันอย่างรวดเร็ว ไอ้เราก็อยากเล่นงานดนตรีโรงเรียนด้วย แต่คนอย่างเรา พึ่งเริ่มเล่นดนตรีใหม่ ๆ กาก ๆ จะทำยังไงดีหว่าสมัยตอนเราเป็นเด็กเชื่อสิ คนเรามันไม่สนใจอะไรหรอก บางทีก็คิดว่าเด็กนี่ก็ดีนะ ไม่ต้องเพอร์เฟ็กอะไรมากมาย ไม่ต้องมาแก๊กมากั๊ก อยากทำก็ทำ พลาดก็ไม่มีใครว่า ใช่ เราอัดคลิปที่เราเล่นกีตาร์ร้องเพลงซึ่งพึ่งฝึกมาแค่เพลงเดียวนี่แหละลงเฟซบุ๊ก เออมีคนมาเห็น แล้วชวนเราไปเป็นนักร้องนำในวงเฉยเลยหรือว่านี่มัน กฎแห่งแรงดึงดูด !รูปภาพจาก pexelsไม่น่าเชื่อว่าแค่กล้านิด ๆ หน่อย ๆ เราก็ได้ไปอยู่ในจุดที่เราต้องการแล้ว คนเราเวลาต้องการอะไรมาก ๆ แล้วลงมือทำมันทันที อยู่ดี ๆ มันก็พามาอยู่ตรงหน้าได้อย่างไรก็ไม่รู้แต่ปัญหาก็คือ เราเป็นคนขี้เขินขี้อายมาก เวลาอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากน่ะ คือคุณเคยแบบว่าจะเดินไปส่งงานอาจารย์แล้วไม่กล้าเปิดประตูเดินเข้าไปส่งงานรึเปล่า ถ้าคุณไม่เคยผมเคยนะ คือคิดดูแล้วกันว่าผมขี้เขินขนาดไหน เนิร์ดมาก สั่นกลัวสุด ๆ สภาพดูไม่น่าจะเป็นนักร้องนำได้ แต่เวลาเพื่อนชวนไปซ้อมวง เราใส่สุดตลอดเลย เต็มที่ แหกปากตั้งแต่ต้นชั่วโมงแรกยันชั่วโมงสุดท้าย (เสียงแหบทุกครั้งหลังซ้อม) สิ่งเดียวที่เพื่อนเชื่อมั่นในตัวเราก็คือ เวลาเราร้องทุกคนได้ยินเสียงนักร้องนำหมด (ขออธิบายอย่างนี้ว่า) ปกติห้องซ้อมดนตรีจะไม่เหมือนคาราโอเกะ เสียงเครื่องดนตรีแต่ละตัวนั้นจะดังมากโดยเฉพาะกลอง แต่ผมสามารถร้องให้ได้ยินได้โดยที่มือกลองยังตีด้วยแรงที่มันอยากจะตีอยู่คือตอนนั้นเราเริ่มต้นด้วยเลขศูนย์จริง ๆ เหมือนลูกเจี๊ยบเดินเตาะแตะ แต่ว่าความตั้งใจความอยากน่ะมันสูง พอซ้อมไปซ้อมมา แล้วไปออดิชั่นปรากฏว่า…รูปภาพจาก pixabayติดเฉย! วงเราเป็นวงมอต้นวงเดียวในตอนนั้นที่ได้เล่นในงานโรงเรียนอะคุณ! แล้วคิดดูว่าเด็กหัวเกรียนในสภาพที่หันไปก็เห็นรุ่นพี่มอปลาย ผมรองทรงเท่ ๆ ขนาดนั้น เรานี่มันอันเดอร์ด็อกสุด ๆ แถมยังได้เป็นวงเปิดอีกต่างหาก! ตาย ๆ ตายแน่!เราจำได้ว่าเรากล่าวทักทายแค่ “สวัสดีครับพวกเราวง Vic*** band (ขอเซ็นเซอร์แล้วกัน กลัวโดนขุด ผมอาย)” แล้วเราก็ร้องเลย เล่นเลย ไม่มีการพูดคุยอะไรทั้งนั้น ก็ฉันมาร้องเพลง! ฉันก็แค่ร้องเปล่า! ฮ่าฮ่าฮ่ามันเหมือนโลกทั้งใบที่ผมเคยรู้จักเปลี่ยนไปเลยเมื่ออยู่บนนั้น เวทีกว้าง เราอยู่ตรงกลางเพื่อนนักดนตรีในวง มีคนนั่งมองเราอยู่ข้างล่างเป็นร้อย แต่เราไม่กล้าบอกให้คนที่นั่งอยู่ทั้งหมดลุกขึ้นมายืนตรงหน้าเวที เหมือนอย่างที่รุ่นพี่ปีที่แล้วทำ เพราะเราขี้อายมาก ๆ เราทำตามที่ซ้อม เล่นเพลงแรก เพลงที่สอง ไต่ระดับจากช้าไปเร็ว มือเบสบอกให้เราเรียกน้องให้ลุกขึ้นมา ให้เพื่อนมายืนหน้าเวทีได้แล้ว! เราก็ส่ายหน้ารั่ว ๆ คือกูเขินเว้ย! พอเราร้องไปถึงเพลงสุดท้าย กลองขึ้น(เพลงยาพิษ) เสียงกีตาร์ฮาร์ดคอร์บาดหัวใจ เราแหกปากอยู่บนเวทีและใส่จิตวิญญาณลงไปในน้ำเสียง อัดเข้าไปอีก อัดเข้าไปอีก ราวกับทุกคนสัมผัสถึงพลังอันรุนแรงของเรา ทำให้เด็ก ๆ แต่ละคนค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น ลุก ๆ ขึ้นมาโดยที่เราไม่ต้องสั่งแม้แต่คำเดียว! เราสื่อสารกันผ่านทำนองของดนตรีและเมโลดี้เพียงแค่เท่านั้น! จนในที่สุดเด็กที่นั่งทั้งหมดก็วิ่งกรูกันเข้ามา แล้วกระโดดตรงหน้าเวที ยับ! ต่อหน้าเรา! ในจำนวนมหาศาล! คือมันโคตรของโคตรอิ่มเอม! ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคอนเสิร์ตครั้งแรกก็เป็นอะไรที่ติดตราตรึงใจที่สุดแล้ว!พอเพลงจบ ผมบอก “ขอบคุณครับ” ซึ่งทั้งคอนเสิร์ตผมคุยกับคนดูแค่สองประโยคแค่นั้นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่าผมนึกเรื่องนี้ได้ตอนนั่งเล่นกีตาร์เมื่อกี้ แล้วก็คิดว่า เออเนอะ ตอนเป็นเด็กทุกอย่างมันดูง่ายดายไปหมดเลย เราไม่โทษใครหรืออะไรเลย เราพุ่งไปตามหาสิ่งที่เราต้องการ ทั้งที่ต้นทุนเราอย่างกากอย่างอ่อน เราพยายามคว้าสิ่งที่เราอยากได้ ใช้หัวใจ ใช้ความพยายามทั้งหมด โดยไม่คิดว่าดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่ง แค่อยากทำ แค่ได้ทำ และจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้ทำอย่างที่หัวใจมันเต้นบอก!