เรียกว่าถูกใจคอนิยายพีเรียดแน่นอน สำหรับ “จันทราอุษาคเนย์” โดยผู้ประพันธ์มือทอง “วรรณวรรธน์” ที่เหล่านักอ่านรู้จักกันในนามเจ้าป้า ผู้ส่งมอบเรื่องราวสุดซาบซึ้งในนิยายอิงประวัติศาสตร์มานักต่อนัก เช่นเดียวกับจันทราอุษาคเนย์งานเขียนลำดับที่ 4 ซึ่งใช้เวลากว่า 23 ปีในการเขียน โดยมีแรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าบนโต๊ะทำงานของคุณพ่อ รับรองว่านิยายเล่มนี้จะทำให้เหล่านักอ่านตราตรึงกับเรื่องรัก ท่ามกลางฉากหลังในประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำโขง จันทราอุษาคเนย์ เล่ม 1-2 ผู้เขียน วรรณวรรธน์ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรมจันทราอุษาคเนย์ นิยายย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ย้อนเล่าเรื่องราวไปไกลมากกว่าพันสามร้อยกว่าปีในดินแดนอุษาคเนย์ สมัยอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรเจนละ และอาณาจักรใกล้เคียง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 กับการพบกันระหว่าง “ตมิสา” หญิงสาวผู้หลงวันเวลาเข้าไปยังสมัยโบราณ และ “เจ้าชายจิตรเสน” อธิราชาผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งประเทศจีนมหาอำนาจในสมัยโบราณ ประมาณสมัยราชวงศ์ซุย ยังกล่าวขวัญถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์จารึกไว้ในจดหมายเหตุจีนเรื่องนี้เหมาะกับนักอ่านที่ชื่นชอบนิยายสไตล์พระเอกเพอร์เฟกต์ รูปงาม เก่งกาจสมเป็นยอดกษัตริย์นักรบ ส่วนนางเอกสวยหวานแต่ฉลาดและซุกซน บวกกับเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์สุดเข้มข้น ทั้งความขัดแย้งระหว่างอาณาจักร ความรักระหว่างสายสัมพันธ์ในครอบครัว และความรักสุดตราตรึงของชายหญิงคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยคำสัตย์สัญญาอันแสนอบอุ่นหัวใจ แม้พวกเขาจะต้องฝืนใจกล้ำกลืนกับการพลัดพราก เพราะนางเอกพยายามหาทางกลับคืนสู่โลกปัจจุบัน ขณะที่ความรักเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของพวกเขาทีละน้อยน้ำหนักการเล่าเรื่องสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนระหว่างความรักผ่านจินตนาการของผู้เขียนและเรื่องราวประวัติศาสตร์ ซึ่งนอกจากความรักสุดซาบซึ้ง อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบก็คือผู้เขียนบอกเล่าการเดินทางสู่อำนาจอันยิ่งใหญ่ขององค์จิตรเสน และการเดินทางนั้นนำมาซึ่งหลักฐานและจารึกทางประวัติศาสตร์หลายชิ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ความศรัทธา และโบราณราชประเพณีของผู้คนกว่าพันสามร้อยปีก่อน ซึ่งงดงามไม่แพ้อารยธรรมอื่นใดเมื่ออักษรตัวสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้จบลง สิ่งที่เราพบก็คือพลังแห่งความรักที่ตราตรึงใจ เราชอบคำโปรยปกหลังซึ่งวรรคหนึ่งสะท้อนความรู้สึกหลังอ่าน และตอบโจทย์ทุกตัวอักษรที่ร้อยเรียงเรื่องราวในจันทราอุษาคเนย์เป็นอย่างดี“นิยายกึ่งโรแมนติกประวัติศาสตร์นำไปสู่การค้นหาและความหมายอันยิ่งใหญ่ของดินแดนใหม่ที่ถือกำเนิดจากพันธสัญญาและความรัก” (ภาพประกอบบทความโดยผู้เขียน)