ถ้าพูดถึงคำว่า "จักระ" หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้างแล้ว มีผู้ให้คำนิยามไว้หลากหลาย แต่สำหรับผู้เขียนขออธิบายว่า "จักระเป็นพลังที่อยู่ในตัวของพวกเราทุกคน เราทุกคนสามารถนำพลังนี้ออกมาใช้ในการรักษา บำบัด ร่างกายเราได้ ด้วยการฝึกฝน" ซึ่งแต่ละจักระตั้งอยู่ทั่วร่างกายของเรา มีหน้าที่หลายอย่างต่าง ๆ กันไป และสัมพันธ์กับสี และอัญมณี โดยแต่ละจักระจะสัมพันธ์กับต่อม อวัยวะ เกี่ยวข้องกับอาการของโรคและความผิดปกติของร่างกายโดยเฉพาะ รวมทั้งยังสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจ ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงจิตวิญญาณด้วย โดยในการหมุนนั้นจะมีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกันไปในการรับและส่งพลังงาน เพื่อใช้ในกิจกรรมที่แตกต่างกันตามจักระแต่ละจุด ทุกจุดจะมีความเคลื่อนไหวและส่งพลังงานแสงออกมาในขณะที่เราทำอิริยาบถต่าง ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว และสีสันนั้นมีส่วนที่สัมพันธ์กับจักระเนื่องจาก สีแต่ละสีมีความยาวคลื่นที่ต่างกัน และสามารถกระตุ้นจักระตามจุดต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลต่อสติปัญญา สุขภาพกายและใจที่ดี สุขภาพผิวดี จักระเป็นพลังธรรมชาติที่อยู่ในตัวเราทุกคน ทุกคนสามารถนำพลังนี้มาใช้ เพื่อเสริมสร้าง และรักษาระบบในกายเราได้ เราสามารถนำพลังจักระ มาใช้ในการรักษาและเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เพื่อต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้ ก่อนอื่น เรามารู้จักกับจักระทั้ง 7 ที่มีอยู่ในตัวเรากันก่อนค่ะจักระที่ 1 มูลธาร สัญลักษณ์สีแดง ธาตุดิน อยู่บริเวณก้นกบ หรือฝีเย็บ เป็นจุดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของพลังต่าง ๆ เป็นฐานแห่งความมั่นคงหนักแน่นจะมีสีน้ำตาลเข้มจะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาประสานกับหยินหยางจักระที่ 2 ตั้งอยู่ส่วนล่างปลายสุดของไขสันหลัง หรือบริเวณท้องน้อย สัญลักษณ์สีส้ม ธาตุน้ำ ตำแหน่งเดียวกับระบบประสาทที่เรียกว่า Sacral Plexus ในภาษาโยคะเรียกตำแหน่งจักระที่ 2 ว่า สวาธิษฐาน เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่าย อวัยวะเพศ ระบบสืบพันธุ์ หมายถึงความนิ่งสงบ ความรัก ความบริสุทธิ์ซึ่งก็มีการเคลื่อนไหวและผสมผสานกับหยินหยางตลอดเวลาเช่นกันจักระที่ 3 อยู่ตำแหน่งที่สูงกว่าระดับสะดือเล็กน้อย สัญลักษณ์สีเหลือง ธาตุลม ภาษาโยคะเรียกว่า มณีปุระ ศูนย์รวมประสาทกลุ่มนี้ด้วยควบคุมการทำงานหน้าที่ของระบบทางเดินอาหารทั้งหมด เช่น การย่อย การดูดซึม การส่งอาหารจักระที่ 4 อยู่ในตำแหน่งกลางหน้าอก สัญลักษณ์สีเขียว ธาตุไฟ ภาษาโยคะเรียกว่า อนาหตะ ระบบนี้ควบคุมการทำงานของหัวใจ ปอด กระบังลม และระบบต่าง ๆ ในตำแหน่งเดียวกัน มีหน้าที่ควบคุมด้านความร้อน การหนุนส่งความร้อนในร่างกายโดยปรับเข้ากับหยินหยางในชั้นนี้จักระที่ 5 อยู่ในตำแหน่งช่องคอ สัญลักษณ์สีฟ้า ภาษาโยคะเรียกว่า วิสุทธิ์ ระบบนี้ควบคุมการทำหน้าที่ของต่อมไทรอยด์ กระดูกข้อต่อ อวัยวะภายในปาก เพดาน ลิ้น อาการรู้สึก คลื่นเสียงตั้งอยู่บริเวณคอจะส่งคลื่นเสียงกระจายไป สำหรับผู้ที่ใช้เสียง เช่น นักพูด นักวิชาการ แนะนำให้บำรุงจักระนี้เยอะ ๆ นะคะจักระที่ 6 อยู่ตรงจุดไพเนี่ยล หรือระหว่างคิ้วแล้วลึกเข้าไปกลางศรีษะ เป็นตำแหน่งที่ตั้งของจุดหยั่งรู้ และเชื่อมต่อมายังตาที่สาม มีสีน้ำเงินเข้มไปเกือบสีม่วง จุดนี้หากมีการฝึกฝนจะสามารถเชื่อมต่อกับสภาวะอีกมิติได้ เป็นญาณหยั่งรู้ ควบคุมการทำงานของระบบปราสาท บางท่านที่สามารถมองในอีกมิติได้ด้วยจักระนี้แต่ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของแต่ละท่าน บางครั้งเราอาจได้รับการกะทบจากต่างมิติด้วยจักระนี้จักระที่ 7 อยู่ใกล้กับจักระที่ 6 มาก ตั้งอยู่บริเวณจุดสูงสุดของศีรษะ สัญลักษณ์สีม่วง เมื่อพลังเดินไปถึงจักระที่ 7 เป็นจักระสูงสุด จะมีลักษณะเหมือนดอกบัวบาน เป็นจักระที่เสริมด้านปัญญา สมาธิ สมอง หากผู้ที่ฝึกฝนทางด้านจิต จุดนี้เป็นตัวเปิดให้เกิดการเรียนรู้และเป็นพลังเสริมตัวเราได้ทั้งกายเนื้อและกายทิพย์ จักระระดับนี้จะมีไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและเรียนรู้ในแต่ละบุคคล มีลักษณะเหมือนดอกบัวบานจะทำหน้าที่รับข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูล เสริมปัญญาทางจิตสำหรับผู้ที่ฝึกฝนจักระใหม่ ๆ นั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจ กับตำแหน่งและคุณสมบัติของจักระทั้ง 7 ให้ดีก่อน จากนั้นจึงฝึกการเดินพลังจักระ โดยการกำหนดเรียกพลังเข้าจิต ทำจิตใจให้สงบนิ่ง สบาย แล้วกำหนดจิตให้เดินจักระ อาจจะมองภาพของจักระทั้ง 7 ไปด้วยในช่วงแรก สัมผัสความรู้สึกถึงพลังที่เกิดขึ้น ปล่อยว่าง ๆ สบาย ๆ ตามรู้ เช่น รู้สึกถึงความร้อน ความเย็น ความสั่นสะเทือนเมื่อจักระเดิน การเดินจักระควรเดินให้ครบทั้ง 7 จุด ถือเป็น 1 รอบ กำหนดเดินเพื่อ รักษาและเสริมร่าง พลังในกายให้สมดุลย์ ลองทำดูนะคะ เป็นการรักษาตัวเองได้อีกทางหนึ่งค่ะ ภาพจาก pixabay.com/