อื่นๆ

จริงหรือไม่ ปลูก อินทผลัม รวยรับล้าน!

128
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
จริงหรือไม่ ปลูก อินทผลัม รวยรับล้าน!

ตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน บนสื่อโซเชียลจะเต็มไปด้วยข่าวโปรโมทปลูก “อินทผลัม” ทานผลสดบ้าง ขายกล้าพันธุ์บ้าง เชิญชม เชิญท่องเที่ยว เชิญชิม ผลสด ผลแห้ง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอินทผลัมบ้าง เป็นที่ปลุกเร้าให้คุณต้องไปเที่ยว

ลักษณะแปลงปลูก

โดยเฉพาะกระแสโปรโมทปลูกแล้วรวย รวยเละ รวยรับล้าน มันดังก้องในหัวคุณ มันยิ่งปลุกเร้าให้คุณคิดแล้วคิดอีก ต้องหันมาเหลียวมองที่ดินมรดกที่แม่ให้ไว้ตั้ง 5 ไร่ 10 ไร่ ปล่อยทิ้งไว้ให้หญ้าขึ้นรก หาประโยชน์ใด ๆ ไม่ได้เลย เอาไปปลูกอินทผลัมดีกว่า เงินก็มีเก็บเป็นแสน ๆ ล้าน ๆ ยิ่งราคาต่อกิโลปาเข้าไป 300-500 บาท ด้วยแล้ว ยิ่งรอช้าไม่ได้ กระตุ้นปุ่มอยากมากขึ้น ฝันที่จะเป็นเศรษฐีกับเขาใกล้แค่เอื้อมเอง

แต่ มันจะจริงไหมหนอ ปลูกแล้ว รวยรับล้าน!

เรามีคำตอบให้คุณได้พิจารณา ไตร่ตรอง ก่อนตัดสินใจ

Advertisement

Advertisement

กำลังติดลูก

เนื้อที่ปลูก เท่าไรดี?

ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับคุณเอง ถ้ามีที่ดินเองตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไปก็เพียงพอแล้ว 1 ไร่รวยช้าแต่ก็รวยได้ถ้าราคายังอยู่ที่ 300-500 บาท ลืมไป 5-10 ปี ก็ได้แล้ว แต่ถ้าจะให้รวยขั้นเศรษฐีก็ตั้งแต่ 10 ไร่ขึ้นไป และถ้ามีเงินถุงเงินถัง กว้านซื้อที่ดินสัก 100 ไร่ขึ้นไป รับรองรวยเละเลยทีเดียว

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะมาตรฐานการปลูกแบบมีระยะห่างต้นละ 6×6 เมตร หรือ 7×7 เมตร และ 8×8 เมตร ต่อไร่ ที่ดิน 1 ไร่จะปลูกได้ 20-25 ต้น ต้น ๆ หนึ่งจะให้ผลผลิต 100 กิโลกรัมต่อปี ดังนั้น 1 ไร่จะได้ผลผลิตที่ 2,000-2,500 กิโลกรัม ถ้ากิโลกรัมละ 300 บาท 1 ไร่จะได้เงินราว 600,000-750,000 บาท ถ้ากิโลกรัมละ 400 บาทก็จะได้ 800,000-1,000,000 บาท และถ้ากิโลกรัมละ 500 บาทจะได้ราว 1,000,000-1,250,000 บาท

Advertisement

Advertisement

มันน่าสนไหมล่ะ

ดินที่จะปลูก ประเภทไหนล่ะ?

เนื่องจาก อินทผลัม เป็นไม้ตระกูลปาล์มที่มีถิ่นกำเนิดในทะเลทราย ย่อมขึ้นชื่อว่าทนแล้งได้ดีและดินที่เหมาะสมคือ ดินปนทราย ทำให้ใคร ๆ ก็คิดว่าที่ดินแห้งแล้งอย่างทางภาคอีสานจะดีที่สุด แต่กลับเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะคนที่นำมาปลูกเป็นแห่งแรกในไทย ไปปลูกที่เชียงใหม่ เมื่อ 40 ปีก่อน เติบโตให้ผลผลิตดี แล้วจึงค่อย ๆ ขยายไปปลูกในภาคอีสาน ภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคใต้และภาคตะวันออก เรียกว่าทั่วทุกภาคแล้วต้นกล้าพันธุ์

ในปัจจุบัน คนไทยเก่งที่สามารถปลูกได้ในที่ราบลุ่ม แถวสมุทรสาคร ราชบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี หรือแม้แต่กรุงเทพมหานคร ส่วนภาคใต้ อาจจะให้ผลผลิตน้อยกว่าภาคอื่น ๆ เพราะเป็นภาคที่ฝนตกชุก อินทผลัม ไม่ชอบ ดังนั้นการที่อินทผลัมจะให้ผลผลิตดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินที่จะปลูกหรือภูมิภาคแต่เพียงอย่างเดียว แล้วจะมีปัจจัยอะไรอีกไหม เรามาดูกัน

Advertisement

Advertisement

พันธุ์ที่นิยมปลูก

ปลูกพันธุ์ไหนดี?

อินทผลัมในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่นิยมทานผลสด คือ พันธุ์บาร์ฮี (Barhee/Barhi) เพราะได้ฉายาว่าเป็น “แอปเปิลแห่งทะเลทราย” เนื่องจากรสชาติคล้ายแอปเปิล มีความหวาน กรอบ บ้างก็บอกว่าเหมือนพุทราจีน ซึ่งพันธุ์นี้มีทั้งที่ผลสีเหลืองทองและสีแดงปนน้ำตาล แต่ในบ้านเราขณะนี้จะเน้นสีเหลืองทอง เราจึงเจาะจงเฉพาะพันธุ์นี้ บาร์ฮีเหลืองสุกบาร์ฮีเหลือง

บาร์ฮีแดง

บาร์ฮีแดงสุก

ราคากล้าพันธุ์อยู่ที่เท่าไรล่ะ?

กล้าพันธุ์ที่ขายกันจะมีอยู่ 3 ชนิดคือ แบบเพาะเมล็ด แบบเลี้ยงเนื้อเยื่อ และแบบหน่อกิ่ง แบบสุดท้ายไม่ค่อยนิยมเพราะให้ผลผลิตไม่คงที่ แบบเพาะเมล็ด ราคาจะตกต้นละ 40-200 บาท ข้อดีคือราคาถูก ทุนน้อยสู้ไหว ข้อเสียคือ ไม่รู้จะออกมาเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ส่วนแบบหน่อกิ่งราคาจะเฉลี่ย 100-300 บาท และแบบเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะอยู่ราว 1,000-5,000 บาท เหตุที่แพงเพราะให้ผลผลิตออกมาเป็นตัวเมียร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นข้อดี ข้อเสียคือแพง ใครทุนน้อยก็คิดหนัก หรือใครที่มีเงินมาก อยากได้ผลเร็วต้องซื้อแบบล้อมล้างราก ราคาหลักหมื่นขึ้น ขึ้นอยู่กับอายุของต้น

ข่าวดี ตอนนี้ไทยเราสามารถเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขายได้แล้ว ไม่ต้องพึ่งนำเข้าแต่อย่างเดียว ราคานี้ไม่ตายตัว คุณสามารถใช้วาทะศิลป์ต่อลงได้ ถ้าซื้อเยอะ ๆ ย่อมได้ราคาย่อมเยาลงมา

บำรุงรักษาอย่างไรล่ะ?

เรื่องเยอะทีเดียวล่ะ แม้ว่าอินทผลัมจะทนแล้งได้ดี ไม่ต้องพึ่งน้ำเท่าไร อันนี้ขอบอกว่าไม่จริง มันยังคงต้องการน้ำ ต้องให้น้ำทุกวัน เว้นช่วงหน้าฝนก็ให้ดูตามสภาพ ถ้าดินแห้งผากก็ให้น้ำได้ ที่สำคัญคือขาดน้ำไม่ได้ ใครที่ลงทุนปลูกหลายไร่ต้องลงทุนวางท่อ หรือมีรถไว้จ่ายน้ำ

ต่อมาก็เรื่องปุ๋ย ในช่วงเริ่มปลูกก็พรวนดินใส่ปุ๋ยคอก ใบก้ามปูไป จนกระทั่งต้นโต ใกล้ออกจั่น ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 ปี ก็ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 8-24-24 เพิ่มสารอาหาร พอติดดอกออกผลจะเกือบเก็บผลแล้ว ก็เพิ่มความหวานด้วยปุ๋ยสูตร 13-13-21

ส่วนศัตรูพืช ช่วงที่ต้นเริ่มโต ระวัง ด้วงแรด พอผลเริ่มแก่จวนจะสุกระวัง แมลงวันทอง กระรอก กระแต

การผสมเกสร เนื่องจากอินทผลัมให้ดอกที่ไม่สมบูรณ์ ต้องผสมเกสรเหมือนสละ ระกำ ดังนั้นใน 1 ไร่ จำเป็นต้องปลูกตันตัวผู้ 4-6 ต้น นอกนั้นต้นตัวเมีย อินทผลัมจะออกดอกในช่วงมกราคม ให้ผลผลิตตั้งแต่กรกฎาคม เป็นต้นไป จะวายราวกันยายน

จั่นอินทผลัม

ช่วงติดดอก

ดังนั้นเมื่อดอกตัวผู้บาน ให้เก็บเกสร ดูดมาเก็บใส่ห่อกระดาษ นำไปตากแดดครึ่งค่อนวันไล่ความชื้น แล้วนำไปเก็บในตู้เย็น รอวันแรกที่ดอกตัวเมียผลิแตกบานจึงจะผสมเกสร ต้องทำในวันแรกที่ดอกบานเท่านั้น ผสมในช่วงเช้าเท่านั้น

ใช้เวลาสัปดาห์เดียวก็เริ่มติดผล ดูแลรักษาให้ดี ผลโตหน่อยก็ตัดผลที่เบียดแน่นออกให้เหลือกิ่งละ 5-6 ผล พอลูกเริ่มโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็ห่อกระดาษกันแมลงวันทอง กระรอก กระแตควรห่อสองชั้น ผิวจะได้สวยและป้องกันศัตรูพืชด้วย

ปกติต้นอายุ 1-1.5 ปีขึ้นไป จะออกจั่นประมาณ 2-5 จั่น และจะมากขึ้นจนอายุ 8-10 ปีจะตกราว 15-20 จั่น

ตลาดไปได้สวยไหม?

เมื่อ 30-40 ปีก่อนตลาดยังเงียบ ยังไม่มีใครรู้จัก เป็นผลไม้ประหลาดเมื่อออกขาย แต่ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเพราะถูกโปรโมทว่า บำรุงน้ำนมในสตรีมีครรภ์ ต้านอนุมูลอิสระ ให้พลังงานสูง บำรุงร่างกาย คนเป็นเบาหวานกินได้  กินเท่าไรไม่อ้วนเพราะไม่มีคอเลสเตอรอล

ราคาเริ่มแรกขายกันกิโลกรัมละ 700 บาท ก็ตกลงเหลือ 500 บาท และในปัจจุบันอยู่ที่ 300-500 บาท ซึ่งถือว่ายังสูงอยู่ และ ตลาดยังต้องการอยู่ มีเท่าไรก็ไม่พอขาย เพราะนอกจากขายทานผลสดกันแล้วยังนำไปแปรรูปเป็นน้ำอินทผลัม ทั้งแบบ 25%, 50% และ 100% ราคาขายแบบ 25% อยู่ที่ขวดละ 35-50 บาท (250-350 ซีซี) และขวดละ 150-200 บาทในแบบ 100% (1ลิตร)

น้ำอินทผลัม

นอกจากนี้นำไปทำแยม ผสมในเค้ก พาย คุ้กกี้ ไอศกรีม ชา กาแฟ อินทผลัมสอดไส้ สบู่ เซรั่ม ครีมนวด ครีมขัดผิว สบู่ โลชั่น แชมพู และอีกสารพัด ราคาก็หลักสิบ หลักร้อย

นี่ถ้ารวมถึง รายได้จากการเปิดสวนให้ท่องเที่ยวเชิงเกษตร หรือสวนเกษตรครบวงจร ขายต้นกล้าพันธุ์ ไปจนถึงค่าให้คำปรึกษา ค่าอบรมในการปลูกและจำหน่ายแบบครบวงจรอีก ใครที่ปลูกมาก่อนและปลูกหลายร้อยไร่ มาถึงนาทีนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า รับทรัพย์กันไปเป็นล้านแล้ว

คำถามที่ตามมา คือ ยังทันไหมที่จะรวยกับเขาบ้าง ก็ต้องตอบว่า ยังทัน ใครที่เพิ่งเริ่มในตอนนี้ เพียงรออีก 1-1.5 ปี หรืออีก 5 ปีเป็นต้น รวยแน่ แต่คำถามที่ยังคาใจหลายคนอยู่ ก็คือ แห่กันปลูกมากอย่างนี้ ราคาไม่ตกเหรอ

ผู้ที่รวยไปแล้วหลายสิบคนพูดตรงกันว่า ไม่ต้องห่วง แม้อีก 5-10 ปีข้างหน้า ราคาจะตก เหลือเพียงกิโลกรัมละ 40-50 บาท หรือ 3 กิโล 100 ก็ยังไร่ละแสนอยู่ดี เหตุที่พูดเช่นนี้เพราะเพียงไร่ละ 20 ต้น ต้นละ 100 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 50 บาท รายได้จะอยู่ที่ไร่ละแสน ถ้า 20 ไร่ก็ล้านบาทแล้ว

มันน่าลงทุนปลูกไหมล่ะ ลองคิดดู

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคงเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ต่อไปคือ คุณเองต้องหาข้อมูลเชิงลึกในทุก ๆ ด้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจ ใช่ว่า มีเงินซะอย่างแล้วจะเนรมิตให้สมหวังได้ดั่งใจ คุณอาจจะกุมขมับในภายหลังได้

มีผู้รู้ ผู้ชำนาญอีกมากมายจากสวนต่าง ๆ อีกทั้งจากกลุ่ม ชมรม สมาคม คุณสามารถพึ่งพาพวกเขา ให้ช่วยถ่ายทอดความรู้ให้คุณ อย่าตามกระแส อย่าผลีผลาม อย่าใจร้อน คิด ไตร่ตรอง ศึกษาหาความรู้ให้ดี ให้มาก ๆ ให้รอบด้าน แล้วคุณจะไม่เสียใจในภายหลัง และเมื่อนั้น เศรษฐี มหาเศรษฐี อยู่แค่เอื้อมครับ

-------------

เขียนบทความโดย... Chattha

รูปภาพปกจาก pixabay 1 / 2 / 3

ขอขอบคุณ คุณคีย์ สงวนพงศ์ สวนอินทผาลัมชานเมืองบางกอก Key Date Palm เอื้อเฟื้อภาพประกอบ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
Chattha
Chattha
อ่านบทความอื่นจาก Chattha

ชอบคิด ชอบเขียน ชอบให้ความรู้แก่ทุกๆคน

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์