ทราบไหมว่าคำที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้ คำบางคำไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เรานำมาใช้จนคิดว่าเป็นคำไทยไปแล้ว ของแท้ คือ ไม่เจือปน, ไม่ปลอมปน เพราะฉะนั้น คำไทยแท้ คือ คำไทยที่ไม่เจือปนกับภาษาอื่น ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีวิวัฒนาการมายาวนาน แต่ได้มีการยืมภาษาอื่นมาผสมผสานปรับปรุง ถ้าเราเปิดพจนานุกรมก็จะพบว่า มีคำไทยแท้ เพียงไม่กี่คำ นอกนั้นเป็นคำที่เกิดจากการยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย (ภาษาเขมร ภาษาจีน ภาษาลาว ภาษามลายูู ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ฯลฯ) ทำให้ภาษามีความเจริญงอกงามและมีคำใช้มากขึ้น การยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย เกิดจากความสัมพันธ์ทางการค้า ทางการฑูต ทางวัฒนธรรมและศาสนา การอพยพย้ายถิ่นฐาน ทางการศึกษา เป็นต้น 1. ขนุน (Jackfruit) ยืมมาจากภาษาเขมร ขอขอบคุณภาพจาก freepik ขนุนเป็นผลไม้ ลูกใหญ่ มีหนามถี่ แทบจะทุกส่วนของต้นขนุนสามารถแปรรูปได้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อขนุนสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้ ขนุนอ่อนนำมาปรุงอาหาร เมล็ดนำมาต้ม รับประทานได้ แก่นไม้ใช้ย้อมสีจีวรของพระภิกษุ เนื้อไม้ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ได้ ภาคอีสานเรียก "บักมี่" ภาคเหนือเรียก "บ่าหนุน" คำไทย ยืมมาจากภาษาเขมรโบราณว่า "กฺนุร" และ "โขฺนร" เอามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ราชทูตฝรั่งเศส ลาลูแบร์ เดินทางมาอยุธยาปี พ.ศ. 2230 ชาวสยามก็เรียกขนุนว่าขนุน กันแล้ว ปัจจุบัน คนเขมรกลับเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า ขนุร แทน ออกเสียงว่า คฺโนร์ “ขนุนหนัง” ซึ่งเป็นขนุนพันธ์ุหนึ่งของไทย ซึ่ง “ขนุน” มาจากขอม ส่วน “หนัง” มาจากมลายู 2. ย่านัด (Pineapple) ยืมมาจากภาษาโปรตุเกส ขอขอบคุณภาพจาก pixabay ชาวสยามมีสับปะรดกินกันแล้ว ตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เรายืมคำมาจากโปรตุเกส เรียกว่า "อนาน่า" ประเทศไทยมีสับปะรดหลากหลายสายพันธ์มาก เข่น พันธุ์ปัตตาเวีย ภูเก็ต ภูแล น้ำผึ้ง ฯลฯ และเรียกชื่อต่างกัน เช่น ภาคกลาง เรียกว่า "สับปะรด" ภาคอีสาน เรียกว่า "บักนัด" หรือ "หมากนัด" ภาคเหนือ เรียกว่า "มะนัด" "มะขะนัด" "บ่อนัด" และภาคใต้ เรียกว่า "ย่านัด" "หย่านัด" แต่ถ้าสังเกตุดีๆ มีคำว่า "นัด" ก็เพราะว่ากร่อนมาจากภาษามลายูว่า "nanas" (นานัส) เมื่อ 400-500 ปีก่อน มีนักเดินเรือชาวโปรตุเกสนำ "นานัส" เข้ามาซึ่งเป็นผลไม้นำเข้าจากอเมริกาใต้ โดยเรียกชื่อตามชนพื้นเมืองในถิ่นกำเนิดเดิมว่า "อนาน่า" 3.ชมพู่ (Rose apple) ยืมมาจากภาษามลายู ขอขอบคุณภาพจาก flickr.com ผลไม้อะไรเอ่ยมีรูปร่างคล้ายจมูก ผิวมันเนื้อหวานฉ่ำ กลิ่นหอมเหมือนกลิ่นกุหลาบ คำตอบก็คือ "ชมพู่" (Rose Apple) นั่นเอง ประเทศไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ เช่่น ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แก้มแหม่ม ชมพู่น้ำดอกไม้ ชมพู่ทับทิมจันทร์ ชมพู่พันธุ์ทูลเกล้า ฯลฯ ชมพู่ เป็นคำไทยซึ่งถูกยืมมาจากภาษามลายู เรียกว่า "จำบู" มลายูยืมคำมาจากภาษาบาลีสันสกฤต เรียกว่า "ชัมพุ" ซึ่งหมายถึงต้นหว้าหรือลูกหว้า ส่วนสีชมพูไทยเราแต่เดิมหมายถึงสีแดงเข้มออกม่วงอย่างสีลูกหว้า แต่ภายหลังกลับกลายมาเป็นสีแดงอ่อนอย่างลูกชมพู่ไปเสีย 4. ทุเรียน (Durian) ยืมมาจากภาษามลายู ขอขอบคุณภาพจาก pixabay “ทุเรียน” (King of fruits) เปลือกหนาเป็นหนาม เนื้อสีเหลืองอร่าม เนื้อกรอบหนา รสหวานมัน และมีกลิ่นหอมแรง ได้รับขนานนามว่า “ราชาแห่งผลไม้” เปลือก เนื้อ ใบ และ ราก ล้วนมีสรรพคุณเป็นยา คำไทยยืมมาจากภาษามลายู ซึ่งเรียกว่า durian (ดูเรียน) มาจากคำว่า duri (ดูรี) ที่แปลว่า "หนาม" "ทุเรียน" เป็นพืชพื้นถิ่นของแถบคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะในอินโดนีเซีย เมอร์ซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ หัวหน้าคณะราชทูตจากประเทศฝรั่งเศส ได้บันทึกไว้ว่า “ดูเรียน (Durion) หรือที่ ชาวสยามเรียกว่า “ทูลเรียน” (Tourrion) เป็น ผลไม้ที่นิยมกันมากในแถบนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้า ไม่สามารถทนต่อกลิ่นเหม็นอันรุนแรงของมันได้ ผลมีขนาดเท่าผลแตง มีหนามอยู่โดยรอบๆดูไป ก็คล้ายกับขนุนเหมือนกัน มีเมล็ดมาก แต่เมล็ด ใหญ่ขนาดเท่าไข่ไก่ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้กินภายในยังมีอยู่อีกเมล็ดหนึ่ง ถือกันว่ายิ่งมีเมล็ดในน้อยยิ่ง เป็นทูลเรียนดี อย่างไรก็ตาม ในผลหนึ่งๆ ไม่เคย ปรากฏว่ามีน้อยกว่า 3 เมล็ดเลย” ยังมีคำไทยอีกหลากหลาย ที่ได้ยืมคำจากภาษาอื่นมามาผสมผสานปรับปรุงจนกลายเป็นรูปแบบภาษาของไทยเอง สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้อีกมากมาย จากหลายแหล่งเรียนรู้ เช่น https://repository.museumsiam.org/handle/6622252777/327 ขอบคุณภาพปกจาก Freepik