“ความรับผิดชอบทางสังคม” ปรากฏการณ์ทางศีลธรรม ในสถานการณ์โควิด-19 “ความรับผิดชอบต่อสังคม” เป็นคำที่ได้พบมากในสถานการณ์การแผ่ระบาดอยู่ในขณะนี้ คำนี้นอกจากจะเป็นเรื่องทางกฏหมายที่เพิ่จะมีผลบังคับใช้ แล้วยังเป็นเรื่อง “ความรับผิดชอบทางศีลธรรม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำว่า “ศีลธรรม” ในบทความกว้างนี้ให้ความนิยามกว้าง ๆ บนกรอบความคิดทางจริยศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญา หากศึกษาวิชาจริยศาสตร์จะพบว่า เป็นวิชาที่ตั้งคำถามสำคัญ ๆ ในหัวข้อต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ได้แก่ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์แสวงหาคืออะไร อะไรเกณฑ์การตัดสินการกระทำว่า “ดี” “ชั่ว” “ควร” หรือ “ไม่ควร” และ คำว่า “ดี” หรือ “ชั่ว” หมายความว่าอะไร เป็นต้น ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบต่อศีลธรรม ในสถานการณ์แพร่ระบาดนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจในหัวข้อเรื่องการตัดสิน “การกระทำ” เราใช้เกณฑ์อะไร ผมขอกล่าวหลวม ๆ ว่า ในทางจริยศาสตร์มี 2 เกณฑ์ในการตัดสินการกระทำตามที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น คือ ข้อแรกให้เราดูว่า การกระทำนั้นละเมิดหลักการหรือไม่ เรียกว่า ทฤษฎีหลักการนิยม ตัวอย่างเช่นหากละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น อันนี้ถือว่าละเมิดหลักการเป็นการกระทำที่ไม่ดี ส่วนข้อที่ 2 การกระทำนั้นก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนหมู่มากหรือไม่ เรียกว่า ทฤษฎีประโยชน์นิยม ตัวอย่างเช่น การกักตัวเอง 14 วันหากกลับมาจากประเทศสุ่มเสี่ยง หากทำไปแล้วช่วยให้สังคมมีความสุข คนหมู่มากสบายใจ ถือว่าเป็นการกระทำที่ดี จากข่าวการแพร่ระบาดในระยะแรก ๆ เราจะพบว่า ผู้ที่เดินทางมาในประเทศเสี่ยงไม่ได้ให้ความร่วมมือในการกักตัว ในขณะเดียวกันยังใช้ตามปกติซึ่งเป็นวิตกกังวลของทั่วไปในประเทศ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ ผู้กระทำขาดความสำนึกต่อส่วนรวม ให้ความสำคัญแก่ตัวเองมากกว่าคนส่วนใหญ่ ในขณะนั้นยังไม่มีกฏหมายบังคับใช้ จนกระทั่งต่อมารัฐได้มีการออกกฏหมายเพื่อควบคุมบุคคลที่กลับมาจากประเทศเสี่ยง นอกจากเรื่องกฏหมายแล้ว ประเด็นนี้คือเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งทางจริยธรรมเลยทีเดียว เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสในประเทศไทย เริ่มบานปลายจากกรณีผีน้อย และสนามมวยที่ลุมพินี จนปรากฏว่ามีบุคคลสำคัญ ๆ ของประเทศ เช่น ดารา นักมวย หรือเซียนมวย เป็นต้น ติดเชื้อ ยิ่งสร้างกระแสความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับคนไทยเมื่อทราบว่า บุคคลที่อยู่สนามมวยเริ่มติดเชื้อ มีทั้งแสดงตน แสดงความรับผิดชอบทางสังคม และไม่แสดงตน และยังมีที่ไม่สามารถติดตามได้อีกจำนวนหนึ่ง อย่างน้อยในเหตุการณ์นี้ แสดงให้ว่า ผู้คนเริ่มมีความรับชอบทางสังคมมากขึ้นถือว่าเป็นความรับผิดชอบทางศีลธรรมอย่างหนึ่งซึ่งจะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนหมู่มาก แม้อาจจะวิเคราะห์สาเหตุของความรับผิดชอบทางศีลธรรมนี้ มาจากการเกรงกลัวต่อกฏหมาย การพยายามรักษาชีวิตตนเองและบุคคลรอบข้าง หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น มีเงินทองเพียงพอที่จะสามารถดำเนินการตรวจร่างกายของตนเองได้อย่างรวดเร็วว่าติดเชื้อหรือไม่ เราก็มองบุคคลเหล่านี้เป็นการกระทำที่”ดี” บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ไม่ทำให้คนอื่น หรือคนหมู่มากเดือดร้อน นี่คือปราฏการณ์ทางศีลธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมด้วย หากเราใช้เกณฑ์เรื่องทฤษฎีประโยชน์นิยม ที่ให้ความสำคัญกับคนหมู่มาก เราจะพบว่า ผู้ที่อยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะกรณีใด ควรมีความรับผิดชอบทางศีลธรรม ในแง่ที่ว่า ตัวเองไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้กับคนหมู่มาก นอกจากทำตามกฏหมายแล้วยังเป็น “สำนึกทางศีลธรรม” ที่ต้องรับผิดชอบด้วย เป็นปรากฏการณ์ทางศีลธรรมที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับการระวังป้องกันการแพร่บาดตามหลักการทางสาธารณสุขด้วย ในขณะนี้ เราคงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรามีข้อมูลมากมายเพียงพอในการรับรู้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การดูแลรักษาตัวเอง การรายงานสถานที่สุ่มเสี่ยง เป็นต้น นอกจากนั้นเท่าที่สังเกตตามประสบการณ์ สถานการณ์โควิด-19 ได้สร้างปัญหาความขัดแย้งทางศีลธรรมใหม่ ๆ อีกเช่น ปัญหาทางเศรษฐกิจและครอบครัวบนพื้นฐานความกลัวการติดเชื้อ กับการทำที่ต้องทำงานหาเงินในพื้นที่เสี่ยง ๆ เป็นความขัดแย้งในครอบครัวเรื่องความห่วงใยกันในเวลาไปทำงาน การพบปะสังสรรทางสังคม หรือการไปท่องเที่ยวในสถานที่เสี่ยง เป็นต้น ผมได้เห็นโพสต์ทางโซเซียลมีเดีย คนในครอบเดียวกันเถียงกัน พวกเขาจะไม่ได้ตายเพราะโควิด-19 และกำลังจะตายเพราะไม่มีเงินในสถานการณ์บอบบางทางเศรษฐกิจแบบนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขายังต้องดำเนินชีวิตอยู่ในสถานที่เสี่ยงนั่นเอง