เชื่อว่ามัลดีฟส์คงเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลาย ๆ คน ผู้เขียนก็เช่นกันค่ะ และความฝันก็เป็นจริงเมื่อไม่นานมานี้ มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนที่มัลดีฟส์แบบ 3 วัน 2 คืน มาค่ะ วันนี้เลยจะมาแชร์ประสบการณ์และบรรยากาศของเกาะแห่งนี้ให้ชมกันค่ะว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าเกาะสวรรค์ ผู้เขียนและครอบครัวออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังสนามบินมาเล่ (MLE) โดยเลือกใช้บริการของ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways) ค่ะ เพราะเป็นสายการบิน Full-Service สามารถใช้บริการ Lounge ได้ โหลดกระเป๋าได้ และมีเครื่องดื่มและอาหารร้อนให้บริการบนเครื่องด้วย รสชาติอาหารก็ดีมาก คุ้มค่ากับราคาตั๋วที่จ่ายไป ใช้เวลาเดินทางเพลิน ๆ ประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงที่หมายแล้วค่ะ พอมาถึงสนามบินมาเล่ หลังจากผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องไปติดต่อเคาน์เตอร์โรงแรมที่เราจองไว้ เพื่อนั่ง Speed Boat หรือเครื่องบินน้ำต่อไปยังที่พัก โดยโรงแรมที่ผู้เขียนจองไว้คือ Meeru Island Resort and Spa ซึ่งสามารถเดินทางไปด้วย Speed Boat ค่ะ รอเรือมารับอยู่ประมาณ 45 นาที ก็ได้ลงเรือแล้วค่ะ โดยจะใช้เวลานั่งเรือเข้าไปที่โรงแรมอีก 40-45 นาทีค่ะ ระหว่างทางก็เห็นแต่น้ำทะเลและท้องฟ้า ลมตีหน้า ผมกระเซิงกันไป พอมาถึงโรงแรมจัดการ Check-In และดื่ม Welcome Drink เรียบร้อย ก็จะมีรถกอล์ฟพาเราไปยังห้องพักที่จองไว้ โดยผู้เขียนจองห้องพักแบบ Overwater Villa ไว้ค่ะ ซึ่งห้องพักแบบนี้จะมีจำนวนไม่มาก ใครอยากพักแบบนี้จะต้องล่วงหน้ากันหน่อยนะคะ และอย่าลืมให้ทิปพนักงานของโรงแรมที่ขับรถและยกกระเป๋ามาให้เราด้วยค่ะ สามารถใช้เงิน US Dollar ได้ค่ะ อยากให้เตรียมแลกแบงค์เล็ก ๆ เช่น แบงค์ 1 USD มาไว้ทิปพนักงาน ซึ่งไม่ได้เป็นกฎระเบียบอะไรของโรงแรม แต่เป็นน้ำใจของเราที่มีต่อผู้ที่ให้บริการ และช่วยเหลือเราค่ะ ทางเดินเข้าที่พัก น้ำใสมากกกกก ฟ้าก็สวยมากกก สวรรค์ชัด ๆ ด้านในห้องพักกว้างขวางมาก ๆ ค่ะ แบ่งโซนห้องนอน โซนแต่งตัว โซนห้องน้ำด้านใน และยังโซนที่เป็นอ่างอาบน้ำด้านนอกแบบไม่มีหลังคา แยกออกจากห้องน้ำด้านในด้วย สงสัยจะให้แช่น้ำท่ามกลางกลางแสงดาวตอนกลางคืนแน่ ๆ เลยค่ะ นอกจากนี้ทุกห้องพักแบบ Overwater Villa จะมีบันไดสำหรับลงทะเลจากบ้านพักด้วยค่ะ น้ำทะเลแถวนี้ยังไม่ลึกมาก สามารถลงไปยืน และว่ายน้ำเล่นได้ แต่ควรใส่เสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัยนะคะ ซึ่งทางโรงแรมมีจัดเตรียมไว้ให้ในห้องพักค่ะ หลังจากเก็บข้าวของ และพักเหนื่อยแล้ว เราก็ออกเดินสำรวจโรงแรมกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง โดยที่นี่มีทั้งสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส สนามบาสเก็ตบอล ห้องเด็กเล่น ห้องอาหาร ร้านสำหรับนั่งดื่ม ร้านที่ให้บริการอาหารว่าง ซึ่งถ้าเราจองแพคเกจห้องพักแบบ All Inclusive มา เราก็จะสามารถรับประทานอาหารมื้อหลัก อาหารว่าง และเครื่องดื่มได้ทุกอย่างโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ เดินเล่น ถ่ายรูป พักผ่อน นั่งชิลอยู่รอบ ๆ บริเวณโรงแรมจนตกเย็นเราก็มายืนดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและท้องทะเลที่บริเวณท่าเรือด้านหน้าโรงแรมค่ะ ท้องฟ้าและท้องทะเลกลายเป็นเฉดสีส้ม แดง ม่วง แบบโนฟิลเตอร์ สวยมาก ๆ เลยค่ะ หลัก ๆ ของการมาเที่ยวมัลดีฟส์ครั้งนี้ คือ ตั้งใจมาพักผ่อนค่ะ วัน ๆ ก็มีแต่เดินเล่น ว่ายน้ำ กิน นั่งชิล ดูวิว กิน ถ่ายรูป กิน แล้วก็นอน แต่ที่โรงแรมก็จะมีกิจกรรมให้ทำหลากหลายนะคะ เช่น ไปดำน้ำแบบ snorgling หรือไปนั่งเรือดูปลาโลมา ซึ่งรวมอยู่ในแพคเกจแบบ All Inclusive เช่นกัน ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เรียกว่าจ่ายเงินตอนจองห้องพักครั้งเดียว แล้วอยู่ฟรีไปเลย 3 วัน 2 คืน ราคาแพคเกจห้องพักแบบ Overwater - All Inclusive ก็จะแตกต่างกันไปตามระดับความหรูของโรงแรมค่ะ โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 ต่อคน ไปจนถึงประมาณ 50,000 บาทต่อคน ซึ่งราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-มาเล่ ค่ะ สำหรับการมาเที่ยวเกาะสวรรค์มัลดีฟส์นั้น เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย ถ้าหากมีโอกาสแนะนำให้ลองมาสัมผัสซักครั้งในชีวิตค่ะ แล้วจะรู้ว่าสวรรค์บนดินมีอยู่จริง ภาพปกและภาพประกอบบทความทั้งหมดเป็นของผู้เขียน: Little Rabbit ห้ามนำไปใช้ที่อื่นก่อนได้รับอนุญาตนะคะ