ซื้อสินค้าหนึ่งร้อยบาท จ่ายในราคาเพียงห้าสิบบาท ครึ่งเดียวของราคาเต็มเท่านั้น ฟังดูน่าสนใจใช่มั้ยครับ “คนละครึ่ง” โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่เป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่สามารถพูดได้ว่าเป็นส่วนต่อขยายของโครงการอื่นๆก่อนหน้านี้จากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น “ชิมช็อปใช้” รอบหนึ่งและรอบสอง โครงการ“เราเที่ยวด้วยกัน” สาเหตุก็มาจากการที่ภาครัฐได้ติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจแล้วพบว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่แผ่วลงและซบเซาจะมีการกระเตื้องขึ้นเมื่อมีโครงการประเภทที่รัฐสนับสนุนการใช้จ่ายของคนจำนวนมากพร้อมๆกัน ทำให้ตัวเลือกการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านระบบการแจกเงินให้ประชาชนได้ใช้สอยโดยตรง กลายเป็นเครื่องมือที่รัฐจำเป็นต้องนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยทั้งในระดับมหภาค(ระดับประเทศ) และระดับจุลภาค(ระดับครัวเรือน) ที่มีต้นตอจากปัญหาโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่มีมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้าโควิด-19เสียอีก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เรียกได้ว่าหากประเทศไทยเป็นมนุษย์คนหนึ่ง การท่องเที่ยวก็เป็นเสมือนเส้นเลือดที่ไหลเวียนไปตามร่างกายทั้งยังซอกซอนไปส่วนเล็กส่วนน้อยของอวัยวะทั้งหมด แต่โควิด-19 ได้ทำให้การไหลเวียนเลือดหยุดลงและยังไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ เพราะฉะนั้นในการแก้ปัญหาระยะสั้น “คนละครึ่ง” จึงเป็นเสมือนเครื่องปั๊มหัวใจให้ร่างกายนี้ยังพอไปต่อได้ครับ เมื่อทราบอย่างนี้แล้วเราๆท่านๆที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้(ตามเงื่อนไขของทางราชการ) ก็จะมีโอกาสใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทั้งประหยัดเงินในกระเป๋าและมีประโยชน์ในการช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบกันมากขึ้น ดังนั้นมาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดีๆนี้ด้วยกันเถอะครับ ในส่วนของวิธีการสมัครคงมีคนเขียนถึงเรื่องนี้ไว้มากแล้ว รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆที่ทำเป็นรูปแบบรายการก็คงพอหาอ่านได้ในที่ต่างๆ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอทำหน้าที่ขยายความเพื่อให้ผู้ที่คิดจะเข้าโครงการนี้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้นครับ คนละครึ่ง ดีอย่างไร ตามที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้น ผู้ที่สมัครเข้าร่วมและผ่านการตรวจสอบ จะได้รับวงเงินจำนวน 3,000 บาท สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยเมื่อเลือกซื้อสินค้าแล้วท่านจะจ่ายเงินซื้อของในราคาเพียงครึ่งเดียวของราคาขายที่กำหนดไว้ โดยที่อีกครึ่งหนึ่งรัฐจะช่วยจ่ายให้ผ่านวงเงินนี้ เช่น อาหารที่เราซื้อจากร้านที่เข้าร่วมโครงการ ราคา 50 บาท เราควักกระเป๋าจ่ายเพียง 25 บาท ส่วนอีก 25 บาทนั้นรัฐจะเป็นผู้จ่ายให้โดยโอนเงินส่วนที่เหลือจากวงเงิน 3,000 บาทข้างต้น เข้าสู่กระเป๋าของผู้ขายโดยตรง โอ้โห.. ไปซื้อทีวีสักเครื่องเลยดีมั้ย คำตอบคือไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ หลักการ “คนละครึ่ง” คือสนับสนุนให้เราใช้จ่ายอุปโภคบริโภคประจำวัน ดังนั้น แทนที่เขาจะให้เงินก้อนเราทีเดียวเพื่อใช้ซื้ออะไรสักอย่าง รัฐจึงให้เป็นวงเงินเอาไว้ที่ 3,000 บาท แต่ให้เราใช้ได้สูงสุดวันละ 150 บาท เท่านั้นครับ หารดูแล้วตก 20 วันสำหรับการจับจ่ายโดยที่มีรัฐจ่ายให้สูงสุด 150 บาท ต่อวันครับ อันนี้ผู้เขียนหารออกมาตรงๆ แต่ในทางปฏิบัติ หากท่านใช้ไม่ถึง 150 บาทต่อวัน จำนวนเงินในวงเงินก็จะถูกหักออกตามการใช้จ่ายจริงครับ ดังนั้นเงินที่เหลือก็จะยังอยู่ในระบบ เพียงแต่ว่าถ้าพ้นไปอีกวันท่านก็จะสามารถใช้ได้วันละ 150 บาทเป็นจำนวนเงินสูงสุดในแต่ละวันครับ เมื่อมีการใช้สอยอย่างต่อเนื่องของคนเป็นล้านคนในระยะเวลายี่สิบวันเป็นอย่างน้อย นั่นก็คือการหมุนเวียนเงินที่มากขึ้นระยะสั้นๆ ผู้เขียนคิดว่าการจำกัดวงเงินต่อวันเพียงเท่านี้มันไม่ได้ทำให้ความ ว้าว ของโครงการนี้ลดลง แต่การกระจายของเงินในระบบจะมากขึ้นมากกว่าโครงการก่อนๆครับ และถึงแม้ว่า เราจะไม่สามารถนำเงินก้อนไปซื้อสิ่งของชิ้นใหญ่ๆได้ก็ตาม แต่ถ้าหากเราใช้ประโยชน์จากเงินก้อนนี้ซื้อสินค้าอาหารรายวันกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการที่เป็นร้านค้าย่อยข้างถนนในตรอกซอกซอยได้ น่าจะทำให้การหมุนของเงินเป็นไปได้ดีขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าโครงการที่ผ่านมาครับ อย่างที่บอกว่าโครงการนี้ช่วยเราประหยัดและทำให้เศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์นั่นแหละครับ ร้านค้าแบบไหนที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” บ้าง ข้อมูลของ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ด้วยการค้นในอินเตอร์เน็ตครับ ผ่านเว็บ https://search-merchant.xn--42caj4e6bk1f5b1j.com/ หรือ เข้า Google แล้วใช้คำค้นหาง่ายๆครับ ว่า “ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง” เท่านี้ก็จะมีเว็บที่เกี่ยวข้องแสดงออกมาให้เห็นครับ ประเภทของร้านที่เข้าร่วมโครงการมีสี่แบบครับที่เขาจัดมาให้ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านธงฟ้า ร้านOTOP ร้านสินค้าทั่วไป หลังจากสำรวจรายชื่อร้านค้าแล้วต้องบอกว่า ร้านค้าที่ร่วมโครงการมีอยู่มากมายหลายร้าน แต่ตามข้อมูลที่ได้มามีถึง 2.3 แสนร้านทั่วไทย แต่ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจจริงๆว่าจำนวนที่ว่ามาจะถูกต้องหรือเปล่า เนื่องจากว่าเฉพาะร้านในกรุงเทพที่เห็นในระบบ มีเพียง 1200 กว่าร้านค้าเท่านั้น หากคูณด้วยจำนวนจังหวัดก็ไม่น่าจะถึง 2.3 แสนร้านค้าไปได้ แต่ก็ไม่แน่ครับว่าระยะเวลาในการเปิดตัวร้านในระบบอาจจะค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆในภายหลัง ผู้เขียนได้ทดลองเจาะจงที่ร้านอาหารเป็นหลักในการค้นหาก็พบว่า การค้นหาร้านอาหารใกล้ตัวค่อนข้างลำบากเนื่องจากเขาไม่ได้เรียงตามระยะใกล้ไปสู่ไกลครับ มันค่อนข้างกระโดดจากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่ง แต่คิดว่ายังไงคงไม่ยากเกินไปที่เราจะพยายามค้นให้เจอร้านที่เราพึงพอใจจะไปจับจ่ายครับ ถือว่าคุ้มค่าอยู่ดีที่จะเสียเวลาค้นดูสักครู่ครับ แต่ถ้าร้านที่สามารถซื้อหาของอุปโภคประจำวันหลักๆโดยไม่ต้องค้นเยอะก็คือ ร้านค้าธงฟ้า หรือร้านสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นร้านค้าผูกกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาตลอด ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าหาร้านธงฟ้าใกล้เราได้โดยง่ายในเว็บของโครงการนะครับ แต่เพราะว่าร้านค้าธงฟ้านั้นมีมานานและการเข้าร่วมกับบัตรสวัสดิการของรัฐมาช่วงเวลาที่มีระยะเวลายาวนานพอสมควร ดังนั้นผู้เขียนเข้าใจว่าคนส่วนมากคงพอจะเคยผ่านตาว่าในชุมชนที่อยู่อาศัยของท่านมีร้านค้าธงฟ้าที่ใดบ้าง แต่ถ้าไม่รีบร้อนค่อยๆค้นดูในเว็บไซต์ของโครงการไปก่อนได้ครับ แล้วค่อยวางแผนการจับจ่ายของท่าน ใครบ้างที่มีสิทธิ “คนละครึ่ง” เพื่อไม่ให้ท่านเสียเวลาไปค้นดู หรือไปหาข้อมูลมากกว่านี้โดยไม่จำเป็น จึงขอชี้แจงข้อสำคัญที่สุดไว้ก่อนครับ คือ ใครที่มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการบ้าง ซึ่งไม่ยากครับ เพราะว่ามีข้อที่รัฐกำหนดไว้สองสามข้อ แต่มีเพียงข้อเดียวเท่านั้นครับ ที่สำคัญที่สุด โดยเราสามารถดูจากฝั่งคนที่ไม่มีสิทธิได้เป็นหลักครับ ดังนั้นกลับกันอีกด้านคนที่มีสิทธิก็คือคนที่ไม่อยู่ในกลุ่มคนไม่มีสิทธินั่นเองครับ คนที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ คือ คนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครับ ดังนั้นหากท่านมีบัตรนี้อยู่ ชื่อของท่านจะอยู่ในระบบและไม่สามารถรับสิทธิได้ครับ ส่วนคนที่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาก่อน สามารถสมัครได้ทุกคนครับ สมัครเลย คนละครึ่ง อ่านมาถึงตรงนี้คงมีหลายคนตัดสินใจ “คนละครึ่ง” กับภาครัฐแล้วครับ ขอแนะนำว่าควรอ่านขั้นตอนการสมัครที่หาได้จากบทความถัดไปครับ ส่วนจุดประสงค์ของบทความนี้เพียงทำความเข้าใจและชี้ให้เห็นประเด็นที่สร้างประโยชน์ของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น “คนละครึ่ง” โครงการนี้ครับ และอย่างที่ว่าไว้ว่า มาตรการรัฐชุดนี้เป็นมาตรการระยะสั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่มาตรการที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเชิงบวกในระยะยาว แต่อย่างน้อยก็พอให้หลายๆร้านค้าได้หายใจหายคอกันได้บ้างครับ เพราะฉะนั้นคิดจะใช้สอยหรือซื้อหาสิ่งใด ก็ขอให้แน่ใจจริงๆครับว่าสิ่งนั้นๆมีความจำเป็นสำหรับท่านจริงๆหรือเปล่าครับ ผู้เขียนเองก็สนับสนุนความคิดที่เงินควรจะหมุนเวียนในระบบให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงและแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกันได้อย่างคล่องตัว แต่อย่างไรก็แล้วแต่เราก็ต้องมองสภาพการณ์ตามความเป็นจริงครับว่า เศรษฐกิจระยะถัดจากนี้ไปยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าไว้วางใจ ดังนั้นอย่าหยุดใช้เงินครับ แต่ต้องใช้เท่าที่จำเป็นและทำประโยชน์สูงสุดให้กับตนเองและครอบครัวครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขตามที่ท่านปรารถนา “คนละครึ่ง” กระเป๋ากับรัฐ แต่รับความความสุขแบบเต็มๆไม่ต้องแบ่งครึ่งครับ เลาะเขตเศรษฐกิจ ขอบคุณเครดิตภาพทั้งหมด www.คนละครึ่ง.com