สวัสดีครับผู้ที่ชื่นชอบการอ่านทุกท่าน วันนี้ผม Boz จะมารีวิวหนังสือ"กล้าที่จะถูกเกลียด เล่มที่ 1" หลังจากที่ผมได้กลับมาอ่านอีกครั้งในรอบหลายปี ปรากฎว่าได้เข้าใจเนื้อหาที่ผู้เขียนอยากจะสื่อความหมายให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือจิตวิทยาที่ได้รับความนิยมและขายดีมากในประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนก็คือ คุณโคะกะ ฟุมิทะเกะ และคุณคิชิมิ อิชิโร โดยผมจะสรุปรวมๆจากสิ่งที่ผมได้อ่านและวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อคิดต่างๆให้ท่านผู้อ่านดังนี้Hightlight ของหนังสือกล้าที่จะถูกเกลียดโลกของเรานั้นเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน แต่คุณต่างหากที่ทำให้โลกดูสับสนทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อดีตไม่ได้ตัดสินอนาคตของคุณตัวเราเป็นคน"เลือก"ที่จะมีความทุกข์เอง ความทุกข์ใจทั้งหมดล้วนเกิดจากความสัมพันธ์ตัดเรื่องของคนอื่นทิ้งไปแล้วคุณจะมีความสุขขึ้นเราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ใช้ชีวิต ณ วินาทีนี้ ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะผ่านไปนานสัดแค่ไหน สิบปี ร้อยปีหรือพันปี จะต้องมีปัญหาที่ถูกนำมาพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงชีวิตการศึกษา หรือช่วงเวลาการทำงานนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จในทุกๆเรื่อง สังเกตได้เลยจากหนังสือจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาตนเองที่ถูกจัดโซนขายไว้โซนใหญ่เลยหนึ่งโซน นั้นแสดงว่าการหาวิธีการในการจัดการชีวิตของผู้คนก็ยังเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่หายหนังสือหลายเล่มจะบอกวิธีการคิดหรือลงมือทำ ซึ่งหนังสือแนวนี้ก็จะมีแนวทางหรือการเขียนที่คล้ายคลึงกัน แต่หนังสือเล่มนี้กล้าที่จะถูกเกลียด เป็นหนังสือที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เป็นหนังสือแนวปรัชญากรีกโบราณของอัลเฟรด แอดเลอร์ซึ่งมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของผู้รีวิวกับหนังสือที่นำเสนอแนวคิดการชีวิตและวิธีคิดโดยไม่ทำตามสามัญสำนึก แต่เป็นหนังสือที่จะช่วยให้คุณมองโลกได้หลายด้าน ได้แนวคิดในเรื่องที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน และทำให้ชีวิตเราง่ายและเป็นตัวเองมากขึ้นข้อคิดดีๆที่ได้จากหนังสือ กล้าที่จะถูกเกลียด1. อย่าเชื่อเรื่องแผลใจไม่มีใครบนโลกนี้ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าเหตุการณ์ในอดีตไม่มีความหมายหรือตัดสินชี้ตัวตนในปัจจุบันของตัวเรา นอกเสียจากว่าเราสร้างความหวาดกลัวขึ้นมากจากเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ฉุดเราไว้ไม่ให้ไปไหน เพราะอย่างนั้นเราไม่ควรให้อดีตมามีส่วนในปัจจุบัน หรือพูดง่ายๆก็คือชีวิตในตอนนี้และอนาคตไม่ได้ถูกอดีตกำหนดไว้ และเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้2. ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นเราเป็นคนคิดไปเองหลายคนคงจะมีความรู้สึกต่ำต้อยในลักษณะบางอย่างของตัวเอง หรือไม่ก็รู้สึกมีคุณค่าน้อยมากใช่ไหมล่ะครับ ตัวอย่างเช่น " แย่จังเลยทำไมฉันถึงเกิดมาตัวเตี้ยแบบนี้เนี่ย ฉันน่าจะสูงกว่านี้สัก10ซม.ก็คงดี " แต่เราลองมาคิดกันใหม่นะครับว่า ถ้าเวลาเรายืนใกล้ๆกับคนตัวสูงเนี่ย คนตัวสูงตัวใหญ่มักจะดูน่ากลัวใช่ไหม แต่คนตัวเล็กแบบเราจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกผ่อนคลายเพราะไม่ต้องคอยระวังเรา พูดอีกแบบก็คืออยู่กับเราแล้วสบายใจมากกว่าอยู่กับคนที่ตัวสูงกว่า แบบนี้จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีปมด้อยอยู่ ผมอยากให้เราทุกคนที่มีปัญหาลองปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ แล้วเราจะพบกับข้อดีที่ซ่อนอยู่มากมายเลยล่ะครับ อย่างคำพูดนี้ความรู้สึกต่ำต้อยที่ทรมานเราอยู่ไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง" แต่เป็น " สิ่งที่เราใช้ความรู้สึกส่วนตัวปั้นแต่งขึ้นมาเอง " 3. ชีวิตคนเราไม่ใช่การแข่งขันกับคนอื่นเราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร แค่มุ่งที่จะก้าวไปข้างหน้าก็พอแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรเราทุกคนก็เดินอยู่บนพื้นราบที่ไม่มีใครเหนือกว่าใคร เราไม่ได้เดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะแข่งขันกับคนอื่น แต่เพื่อให้ก้าวไปได้ไกลกว่าจุดที่ตัวเองอยู่ในปัจจุบัน3. อิสรภาพคือการถูกคนอื่นเกลียดแน่นอนว่าคนเราทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับจากผู้อื่น แต่ยิ่งถ้าเรายิ่งแสวงหาการยอมรับมากเท่าไร เราก็ยิ่งถูกพันธนาการมากขึ้นเท่านั้น การใช้ชีวิตเพื่อเติมเต็มความคาดหวังของตัวเองไว้กับคนอื่น คือการโกหกตัวเองและคนรอบข้างไปเรื่อยๆ ความกล้าที่จะมีความสุข ล้วนต้องอาศัยความกล้าที่จะถูกเกลียด เพราะนั่นแสดงว่า คุณได้ชีวิตอิสระตามเส้นทางของตัวเอง ตราบใดที่คุณยังไม่เลิกสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น และยัง คอยทำตามความคาดหวังของคนอื่น คุณก็จะยังไม่พบกับอิสรภาพความกล้าที่จะมีความสุข ต้องอาศัยความกล้าที่จะถูกเกลียด4. อย่าใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่นชีวิตของเราทุกคนไม่จำเป็นต้องทำตามความคาดหวังของคนอื่น เพราะเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำตามความหวังของใคร แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าให้เราเห็นแก่ตัวหรือไม่ยอมทำความทีปิดทองหลังพระหรืออะไรก็ตาม และให้เราจำไว้ว่าในเมื่อคุณ"ไม่ต้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น" คนอื่นก็ "ไม่ต้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคุณเช่นกัน"5. เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกเราทุกคนบนโลกนี้ล้วนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม อย่างเช่น โรงเรียน ที่ทำงาน และทำให้เรารู้สึกว่า"ตรงนี้คือที่ของเรา" ถ้าคุณคิดว่าชีวิตก็เหมือนหนังละครเรื่ิองหนึ่ง และตัวเอกของเรื่องก็คือ "เรา" จะคิดแบบนั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ตัวคุณ " เป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ " แม้ว่าเราจะเป็นศุนย์กลางชีวิตเราเอง แต่เราก็เป็นเพียงแต่ส่วนหนึ่งของสังคมทั้งหมดเท่านั้น ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีกับพื้นที่ของคุณ แค่เพียงคุณก้าวออกมา คุณจะพบว่ายังมีสังคมข้างนอกอีกกว้างใหญ่ ปัญหาเปรียบเหมือนพายุในแก้วกาแฟที่คุณอยู่ในนั้น คุณอาจจะรู้สึกเครียด หนักใจ แต่พอคุณออกมาจากแก้วใบนั้น คุณจะพบว่ามันเป็นเพียงปัญหาเล็กๆเท่านั้นเอง 6. การทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่าแอดเลอร์บอกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่ตัดสิน"คุณค่า"ของคนอื่น เพราะคำพูดที่แสดงถึงการตัดสินคุณค่าคนอื่นมีที่มาจากความสัมพันธ์แบบแบ่งชนชั้น ถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบเท่าเทียม ถ้อยคำที่พูดออกมาจะแสดงออกมาถึงความซาบซึ้ง ความเคารพนับถือ และความยินดี สิ่งสำคัญอีกข้อคือ คนเราจะคิดว่าตัวเองมีคุณค่าก็ต่อเมื่อรู้สึกว่า "ตัวเองมีประโยชน์ต่อสังคม" 7. ใช้ชีวิต ณ วินาทีนี้อย่างจริงจังชีวิตแต่ละช่วงของคนเราก็เปรียบเสมือนจุดที่เชื่อมต่อกัน ถ้าหากเป้าหมายของชีวิตเป็นเส้นที่ลากยาว ชีวิตที่ผ่านมาก็จะเป็นเพียงแค่ทางผ่าน ถ้าหากเราล้มเหลวกลางทางแล้วไปไม่สำเร็จ ชีวิตของเราก็จะจบที่ตรงทางผ่าน โดยที่ยังใช้ "ชีวิตชั่วคราว" และ "ตัวตนชั่วคราว" อยู่แบบนั้น แต่ชีวิตจริงๆ เวลาแต่ละวินาทีในตอนนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องราวชีวิตของเรา เรียกได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราก็คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ใน" วินาทีนี้ "จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับการเต้นรำที่เกิดขึ้นตามจังหวะเพลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละวินาที ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งฟังบทสนทนาที่แย้งกันไปมาทั้งเล่มอ่านเพลิน สนุก แถมยังได้ข้อคิดเพิ่มเติมอีกด้วยหน้าปกดูดี กระดาษถนอมสายตา อ่านได้นานโดยไม่รู้สึกเบื่อน่าติดตามทุกบทการสนทนาคะแนนรีวิว 10/10 จบไปแล้วครับกับข้อคิดดีๆ จากหนังสือกล้าที่จะถูกเกลียด จริงๆยังมีอีกหลายข้อคิดมากๆที่ผมไม่ได้นำมาใส่ในบทความนี้ เพราะมันเยอะมากจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามผมแนะนำอยากให้ท่านผู้อ่านได้ลองอ่านดูสักครั้ง แล้วคุณจะได้ปรับมุมมองการใช้ชีวิตใหม่ๆ ที่ทำให้คุณกล้ามีความสุขมากขึ้น กล้าที่จะใช้ชีวิตง่ายขึ้น ผมBoz. หวังว่าบทความนี้จะโดนใจสะกิคความคิดผู้อ่านหลายคนไม่มากก็น้อย สำหรับวันนี้ลากันไปก่อน เจอกันบทความหน้าครับ^^Cr. ภาพประกอบโดยผู้เขียน