ขนมดอกจอก (หมูไม่หมู ) สวัสดีค่ะ ขอออกตัวก่อนว่า บทความนี้เป็นการทำขนมดอกจอกจากประสบการณ์ของผู้เขียนโดยตรง อาจจะไม่ตรงใจกับใครหลายคน แต่อาจจะเป็นไอเดีย ประโยชน์ หรือแง่คิดให้กับใครอีกหลายคนก็เป็นได้ ทำไมผู้เขียนถึงตั้งชื่อเรื่องว่า ขนมดอกจอก ( หมูไม่หมู ) หมูหรือไม่หมูมาลองอ่านกันดูนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า จากช่วงสถานการณ์โควิดครอบครัวผู้เขียนเองก็ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจไม่แตกต่างจากครอบครัวอีกหลายๆ ครอบครัว จึงคิดหารายได้เพิ่ม นึกได้ว่าครั้งหนึ่งไปต่างจังหวัดและเคยได้กินขนมดอกจอกที่แม่ค้านำมาวางขาย จำได้ว่าขนมแบบนี้สมัยเรายังเป็นเด็กได้เคยทาน และปัจจุบันก็หาทานยาก (คุณว่าจริงไหม ? ไปหาตามร้านสะดวกซื้อไม่มีนะ) จึงคิดเอาเองว่า อะไรที่หาทานยากก็น่าจะขายดีนะ ดังนั้น ปฏิบัติการหาสูตรขนมดอกจอก จึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งหาจากเว็ปไซด์ ยูทูป หรือ แม้แต่ถามหาจากแม่ของผู้เขียนเอง ( แฮะๆๆ.. ..ใจนึงก็รู้ว่าแม่คงไม่มีสูตรนี้หรอก เพราะแม่ชอบทำอาหารคาวมากกว่า ..เพียงแต่เรายึดคติที่ว่า หนทางอยู่ที่ปาก ถามเท่านั้นที่ครองโลก (เผื่อบังเอิญแม่มี หรือ เคยทำ 555..) หาอยู่หลายสูตร แต่ละสูตรก็คล้ายๆกันหมด จึงหยิบขึ้นมาหนึ่งสูตร และลองทำ อย่าพึ่งเรียกว่าลองทำจะดีกว่า แค่ผสมแป้งเสร็จตามสูตร และใช้ช้อนหยดแป้งลงกระทะ แป้งสุกตักขึ้น แล้วก็ชิม ปรากฏว่า อร่อยจังเลย... “ โอเค เอาสูตรนี้แหละ ” ขั้นต่อไปเราต้องทำอย่างไรนะ อ๋อ..ไปหาซื้อพิมพ์ดอกจอกนั้นเอง ..แล้วไปหาซื้อที่ไหนล่ะ ..คำตอบที่ได้คือ ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ ไปร้านแรกที่อยู่แถวบ้านหาไม่มี ..แอบคิดว่าหรือเอาพิมพ์ดอกไม้อื่นได้ไหมเนี่ย..ก็คงไม่ได้แฮะ. เพราะจะทำขนมดอกจอก ไม่ใช่ขนมสารพัดดอกนี่หน่า.. ไปร้านที่สองมีขายค่ะ จึงซื้อมาลองก่อนหนึ่งอัน ถ้าอันเล็กตกอันละประมาณ หนึ่งร้อยบาทปลายๆ ถ้าขนาดกลางจะอยู่ที่ประมาณ สองร้อยกลางๆค่ะ ขนาดกลางเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 ซม. ผู้เขียนใช้ขนาดนี้ค่ะ และขนาดใหญ่จะอยู่ประมาณ สามร้อยต้นๆค่ะ (เนื่องจากราคาแต่ละร้านไม่เท่ากัน) พิมพ์ของขนมดอกจอก น่าจะมีอยู่ 3 ขนาดค่ะ เพราะผู้เขียนเคยเดินหามาหลายร้าน แต่ละร้านก็มีขนาดแบบนี้เหมือนๆกันหมด ก็เลยสรุปเอาเองว่า.มี 3 ขนาดนะคะ หากมีมากกว่านั้นต้องขออภัยด้วยค่ะ เมื่ออุปกรณ์พร้อม แมส(หน้ากากพร้อม) ก็ลงมือทำได้เลยค่ะ ผสมแป้งตามสูตร ..จุ่มพิมพ์ลงแป้ง..เขย่าๆ พิมพ์ออกจากขนม... แฮะๆ เละค่ะเละ..ไม่เป็นไร ทำใหม่ ..แต่กว่าจะทำพอดูได้ ก็ดอกที่ 10 เห็นจะได้ค่ะ ..แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ทำไมดอกค่อนข้างไหม้ ถ้าอย่างนั้นคงต้องลดไฟลง..อ้าว..คราวนี้ลดไฟแล้ว แป้งที่ทอดแล้วกลับไม่สุกค่ะ..กว่าจะจับเทคนิคได้ทำเอาแป้งเกือบหมดหม้อ ..เทคนิคที่จะเล่าให้ฟังนี้อาจจะไม่เหมือนกับท่านอื่นนะคะ เป็นเฉพาะสำหรับผู้เขียนเอง ..คือเมื่อจุ่มพิมพ์ลงแป้งแล้วให้เหลือส่วนบนของพิมพ์ไว้ประมาณ 3-5 มิลค่ะ เพราะขนมจะได้หลุดจากพิมพ์ได้ง่าย และเมื่อนำขนมหยอดลงกระทะให้รอประมาณ 5-10 วินาที จึงเขย่าขนมออกจากพิมพ์ จากนั้นให้รีบกดตรงกลางขนมซ้ำๆกันหลายรอบ เพื่อให้ขนมพองตัวและกลีบดอกบานออก เราใช้ไฟกลางในการทอดขนมค่ะ แต่ต้องคอยคุมอุณหภูมิด้วยการเติมน้ำมันลงไปเป็นระยะ เพราะน้ำมันจะลดลงไปเรื่อยๆจากการทอด พอขนมเริ่มอยู่ทรง ก็พลิกขนมกลับ ทอดอีกด้านให้สุก การดูว่าขนมสุกหรือไม่นั้น ให้ดูจากฟองอากาศที่อยู่รอบๆตัวขนม หากขนมใกล้สุกฟองอากาศจะค่อยๆเริ่มลดลงเรื่อยๆ ตัวขนมก็เริ่มฟองลดลงเช่นกัน ขนมก็จะแข็งๆ แล้ว ก็นำขนมขึ้นจากเตาได้ ...ทำไปประมาณ 2 ชั่วโมง ได้ขนมสวยๆ มาประมาณ 40 กว่าตัว แป้งหมดแล้วค่ะ ( ผู้เขียนลืมบอกไปว่า ผู้เขียนใช้พิมพ์ 2-3 ตัว สลับทอดในกระทะเดียวกันนะคะ) ทำเอาเมื่อยล้า ขาแข็งเลยทีเดียว กลืนน้ำลายเริ่มแสบคอพิกล ตาก็แห้ง น่าจะเกิดจากไอของน้ำมัน ต้องรีบดื่มน้ำตามค่ะ (ยังแอบคิดว่าถ้าทอดจำนวนมากกว่านี้สุขภาพจะเป็นอย่างไรนะ ) ยังค่ะ ยังไม่พอ พอทำสีธรรมชาติได้แล้ว ก็มีไอเดียบรรเจิดทำสีอื่นๆเพิ่มเติม ก็อีกแหละค่ะ พอผสมสีก็เกิดปัญหาการทอดอีก เพราะสีที่ผสมแต่ละอย่างดูเหมือนจุดเดือดจะไม่เท่ากันอีก ต้องคอยคุมไฟค่ะ ..ภาพโดยผู้เขียน ทำเสร็จแล้วจะไปขายที่ไหนล่ะคะ คำตอบของผู้เขียนคือ ร้านค้าส่งค่ะ เข้าไปเจรจา และนำไปให้เขาชิมอยู่นาน จึงได้ร้านประจำ สรุปว่าเขารับ แต่เราสิรับเขาได้ไหม..ทำไมน่ะหรือคะ..ราคาส่งที่เขาให้เรา คือ 8.50 บาท ต้องส่ง 8 ตัว ต่อถุง ขนาดเล็กเขาไม่รับ ต้องเป็นขนาดดอกที่เขากำหนด รวมถึงความกว้าง ยาวของถุงด้วย ..ตัดสินใจว่า เอาก็เอา ..ทำมาขนาดนี้แล้ว เขาให้โอกาสเราแล้ว ไม่ทำไม่รู้ .. ทำส่งมาได้นานพอสมควร ยอมรับว่าเหนื่อยค่ะ เห็นกำไรน้อย เพราะแค่ค่าถุง,ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าแป้ง ค่าวัตถุดิบอื่นๆ ค่าลังใส่ขนม ก็แทบไม่เหลือแล้วค่ะ เพียงแต่ดีที่ว่าถ้าเราขายส่งเขาจะจ่ายเงินสดเลยค่ะ ทำให้เรามีเงินหมุนเวียน..ถามว่าแล้วทำไมไม่ลองส่งร้านค้าปลีกและขายออนไลน์เองล่ะ .. คิดค่ะ แต่..แค่ทำส่งก็ไม่เหลือเวลาทำปลีกแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามความเหนื่อยล้าและความคุมค่าทั้งเรื่องของเวลา ..ทำให้เราจึงต้องคิดใหม่ ทำใหม่ แบ่งเวลามาค้าปลีกด้วย เพื่อเราจะได้เหลือเวลาและกำไรมากกว่านี้บ้าง ..จึงนำขนมไปลงร้านค้าปลีกอยู่หลายร้าน ให้เครดิตบ้าง รับเงินสดบ้าง ร้านที่รับเงินสดก็เห็นกำไรค่ะ แต่ร้านที่ให้เครดิตไว้บางครั้งก็เท่าทุน หรือขาดทุน เพราะอะไรรู้ไหมคะ ขนมดอกจอกเป็นอะไรที่แตกหักง่าย ลูกค้าที่ซื้อก็มักจะหยิบขึ้นมาดูโดยไม่ระวัง ทำให้ขนมแตกหัก ถุงนั้นเลยขายไม่ออก เป็นอันว่าเราก็ต้องเก็บกลับมา ช่วงหลังจึงจำเป็นต้องหาร้านที่จ่ายเงินสดอย่างเดียวค่ะ เพราะกันขนมตีกลับ และจากจุดอ่อนของขนมชนิดนี้ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแพกเกจใหม่ เพื่อทำให้ขนมไม่แตกหักง่าย แต่ในเมื่อแพกเกจเปลี่ยนราคาก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม และมุ่งไปทำตลาดออนไลน์มากขึ้นค่ะ จากที่ผู้เขียนคิดว่า จะทำขนมออกมาในราคาที่หาซื้อทานได้ง่าย และหาได้ทั่วไป เพราะอย่างไรก็เป็นขนมโบราณที่อยู่คู่ไทยมานาน จากก่อนที่จะทำคิดว่าขนมดอกจอกนี้ ทำง่ายๆ หมูๆ พอลงมือทำแล้วสำหรับผู้เขียนไม่หมูอย่างที่คิดอีกต่อไปค่ะ แล้วคุณล่ะคะคิดอย่างไร? เขียนมาซะยืดยาว หวังว่าบทความนี้จะให้แง่คิด ไอเดีย ดีๆกับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ สำหรับผู้เขียนแล้ว ขนมหรืออาหารทุกชนิด มีจุดอ่อน จุดแข็งในตัวเอง เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือทำจริงๆ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ หากชอบบทความนี้กรุณากดแชร์ กดไลค์ให้ด้วยนะคะ ภาพโดยผู้เขียน