ขณะที่ทุกประเทศทั่วโลก ยังไม่ผ่านพ้นวิกฤต "ไวรัสโควิด-19" แพร่ระบาด ก็ต้องมาให้ความสนใจโรคที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่พบเชื้อ "กาฬโรค" เมื่อรัฐบาลจีนออกมาประกาศเตือนในระดับที่ 3 (จาก 4 ระดับ) ว่าโรงพยาบาลที่เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ตรวจพบผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ว่ามีเชื้อ "กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง" แม้ว่าการกักตัวดูอาการอยู่ในสถานการณ์ที่ดี เชื้อไม่ได้แพร่กระจาย แต่ก็วางใจไม่ได้ โดยบอกว่าถ้าใครมีอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุต้องแจ้งทางการทันที และถ้าเจอ "มาร์มอต" กระรอกขนาดใหญ่ตาย ก็ต้องแจ้งเช่นกัน เพราะเชื่อว่าอาจจะเป็นพาหะนำโรค เพราะมีคนป่วยทันทีหลังจากกินสัตว์ชนิดนี้ ช่วงเวลานี้จึงเป็นอีกครั้งที่ชาวโลกต้องเฝ้าระวัง เตรียมรับมือกับโรคร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้คนโดยไม่เว้นว่าผู้นั้นจะเป็นใคร เพราะติดเชื้อขึ้นมาเมื่อไหร่มีโอกาสเจ็บป่วยล้มตายทั้งสิ้น"กาฬโรค" เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทำให้คนตายได้ เป็นโรคที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะแม้ว่าไม่ได้แพร่ระบาดมานานแล้ว แต่เป็นโรคที่เราก็เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่าโรคที่ร้ายแรงที่สุดในโลก มี 3 โรคด้วยกันคือ อหิวาตกโรค ไข้เหลือง และ กาฬโรค สำหรับ "กาฬโรค" สาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis (เยอร์ซิเนีย เพสติส) ที่แพร่ระบาดอยู่ในสัตว์ฟันแทะ เช่นหนู กระรอก และหมัดบนตัวสัตว์เหล่านี้ ในอดีตช่วงปี 1346 เป็นช่วงที่มีการค้าขายทางเรือ ในเรือสินค้าจากเอเซียที่เดินทางไปยุโรป ไม่ได้มีแค่สินค้าในเรือ แต่ยังมีพวกหนูและสัตว์ต่าง ๆ ที่มีเชื้อโรคติดไปด้วย ทำให้ "กาฬโรค" แพร่ระบาดไปทั่วทวีปยุโรปและแอฟริกาอย่างรวดเร็ว เพราะระยะเวลาการป่วยหลังการแพร่ระบาดนั้นสั้นมาก การเสียชีวิตของผู้คนในช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าตายเกลื่อนไปหมดจนเผาไม่ทัน เมื่อศพเริ่มเน่าเชื้อโรคในคนก็กระจายลงดิน ลงน้ำ ทำให้เชื้อแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น นับว่าเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่งของโลกทีเดียว และแม้ต่อมาจะรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ก็ยังมีการแพร่ระบาดเป็นระยะ ๆ มีผู้ป่วยทั่วโลกและเสียชีวิตจำนวนมาก เรียกว่าถ้าเกิดมีการแพร่ระบาดขึ้นมาเมื่อไหร่ การสูญเสียชีวิตของมนุษย์ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น แม้ว่าในระยะหลังจะเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาได้ แต่ทุกครั้งที่มีข่าวว่าพบเชื้อโรคนี้ ก็จะเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดทุกครั้งไป"กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง" คือกาฬโรคชนิดที่พบบ่อยที่สุดในมนุษย์ ด้วยความร้ายแรง ในอดีตจึงถูกเรียกว่า กาฬมรณะ หรือ Black Death (ความตายสีดำ) คนที่ติดเชื้อกาฬโรคนี้จะเริ่มมีอาการหลังจากที่ติดเชื้อเพียงแค่ 2-6 วัน อาการที่เกิดขึ้นคือเป็นไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดตามเนื้อตัว ในเบื้องต้น ถัดมาจะปวดบวมที่ต่อมน้ำเหลือง เช่น บริเวณขาหนีบ รักแร้ อาการที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ คือเนื้อเยื่อตาย ตามอวัยวะต่างเริ่มเน่าเปื่อย ทำให้ร่างกายผู้ป่วยมีกลิ่นเหม็น และจะส่งผลต่อปอด ต่อระบบหายใจ เพราะผู้ป่วยจะไออย่างหนักจนเจ็บหน้าอก และท้ายที่สุดคือเสียชีวิตภายใน 5-6 วันเท่านั้นเอง "กาฬโรค" เป็นโรคที่แพร่ระบาด เริ่มจากสัตว์สู่คนทั้งจากการสัมผัส หรือกินสัตว์ที่มีเชื้อ และเมื่อคนหนึ่งติดเชื้อ ก็แพร่ระบาดจากคนหนึ่ง สู่อีกคนหนึ่ง ไปสู่อีกหลาย ๆ คน ได้จากการไอหรือจามที่ทำให้ละอองฝอยที่มีเชื้อแพร่กระจายออกไป ทั้งยังสามารถติดเชื้อได้จากบาดแผล จากการกินอาหารที่ติดเชื้อ หรือถ้าไปสัมผัสกับเลือดสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสคนที่ติดเชื้อแล้ว การรักษา "กาฬโรค" จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากยาปฏิชีวนะ ดังนั้นหากถ้ามีอาการที่กล่าวมาเบื้องต้น แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ก็ต้องรีบส่งตัวคนไข้เข้าไปโรงพยาบาล เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาทางการแพทย์ ก่อนที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายจนไม่สามารถรักษาได้ ดังนั้นการใส่ใจในสุขภาพตนเอง สุขภาพสมาชิกในครอบครัวตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ทำได้ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะไม่ให้เกิดการติดเชื้อโรคร้ายแรงใด ๆ "เชื้อกาฬโรค" เป็นเชื้อที่ยังมีอยู่ในโลกนี้ ดังนั้นแม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีการแพร่ระบาดของโรคนี้แล้ว แต่การเฝ้าระวัง การป้องกัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา ๆ ทุกคน แม้ว่าเราจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ "เชื้อกาฬโรค" แพร่ระบาดหนัก ๆ ก็จริง แต่จากการที่เรามีชีวิตอยู่ในช่วงนี้ที่ "ไวรัสโควิด-19" แพร่ระบาด ทุกคนก็เห็นแล้วว่า การแพร่ระบาดของโรค จากคนหนึ่งสู่อีกคน สู่อีกเมือง สู่อีกประเทศนัันรวดเร็วขนาดไหน ดังนั้นเมื่อมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัวเลย ดังนั้นเราจึงต้องติดตามข่าวสาร ฟังประกาศจาก กระทรงสาธารณะสุข และหากมีคำแนะนำใด ๆ เราควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ จาก กระทรงสาธารณะสุข BBC Xinhuanet ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3