การฝึกซ้อมโดยอิงค่าอัตราการเต้นหัวใจ เป็นที่นิยมในนักกีฬา Endurance เครื่องมือวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่นิยมใช้ในปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ 1. ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากหัวใจ (Electrical Heart-Rate Monitor) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับสายรัดหน้าอก (Chest-Strap Monitor) การใช้ให้มีความแม่นยำ ผู้ใช้ควรรัดสายไม่ให้ต่ำกว่ากระดูกหน้าอก (Sternum) และเซนเซอร์ต้องไม่กลับหัว และเพื่อการนำไฟฟ้าที่ดี ตัวสายเซนเซอร์ที่ติดผิวหนังควรทาด้วยน้ำเล็กน้อย แม้ว่าจะแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นหัวใจ แต่ข้อจำกัดของ Electrical Heart-Rate Monitor คือ ผู้ใช้รู้สึกไม่สบายตัวในการใส่สายคาดหน้าอก และตัวสายมักเลื่อนหลุดจากที่ลงมาที่ท้องขณะออกกำลังกาย 2. ตรวจจับด้วยแสง (Optical Sensor) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสงจากไฟ LEDs ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงปริมาตร (Volume)ของเลือดในเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง พบได้ใน นาฬิกาข้อมือสำหรับออกกำลังกาย หรือใช้รัดบริเวณแขนท่อนบน (Arm Strap) ปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากใช้งานง่าย มีความสะดวกสบายในการใส่ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ Optical Sensors คือ สัญญาณ รบกวน อาจจากแสงสว่างภายนอกที่เล็ดรอดจากการที่นักกีฬาขยับตัว หรือปัจจัยที่ทำให้เลือดมีการไหลเวียนผิดปกติบริเวณที่ใช้วัด เช่นอากาศเย็น หรือสีผิวของผู้ใช้ ราคา ในส่วนของราคาของอุปกรณ์ทั้ง 2 กันเลยครับ จากตัวอย่าง Electrical Heart Rate Monitor ผมเลือกใช้ของ Magene และ Optical ผมใช้ Garmin Instinct ซึ่งมีความแตกต่างกันมากเลยครับ Magene Heart Rate - 1,200 บาท Garmin Instinct - 11,500 บาท เห็นราคาต่างกันอย่างนี้ แต่ Garmin ก็เป็น Smart Watch ด้วยนะครับ จึงมีราคาที่สูง ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้แล้วครับ วิธีการทดลอง ผมได้ทำการทดลองเปรียบเทียบ Electrical Heart Rate Monitor กับ Optical Sensor Heart Rate Monitor ในระหว่างการออกกำลังกาย ด้วยการปั่นจักรยานบน Trainer โดยเทียบเคียงกับ Watts ที่ได้จาก Power meter 1. Heart Rate Monitor สำหรับ Electrical Heart Rate Monitor ผมใช้ สายรัดหน้าอก และ Sensor ของ Magene และ Optical Sensor Heart Rate Monitor ผมใช้ นาฬิกาข้อมือ Garmin Instinct 2. จักรยานและการออกกำลังกาย ผมใช้ Cervelo P3 และ Trainer ใช้ Wahoo Kickr โดยโปรแกรมออกกำลังกาย ผมจะออกกำลังกาย 2 แบบ โดยใช้โปรแกรมของ TrainerRoad แบบแรก จะเป็น VO2 max Interval ที่ 120% FTP (Functional Threshold Power) 1 นาที พัก 30 วินาที ส่วนการออกกำลังกายแบบที่ 2 จะเป็น Tempo Interval ที่ 75-90% FTP 15 นาทีพัก 2 นาที 4 ครั้ง สำหรับการทดลอง ปั่นจักรยานแบบ Tempo Interval ที่ 75-90% FTP 15 นาทีพัก 2 นาที 4 ครั้ง พบว่าขณะช่วงการปั่นที่ 75-95% FTP อัตราการเต้นของหัวใจจาก Electrical Heart Rate Monitor และ Optical Sensor ให้ผลเทียบใกล้เคียงกับ การออกแรงที่วัดได้จาก Power Meter แต่ช่วงพัก 2 นาที กราฟอัตราการเต้นของหัวใจจาก Optical Sensor ไม่แสดงการลดลง ของอัตราการเต้นหัวใจเลย ในขณะที่ Electrical Heart Rate Monitor ยังแสดงการลดลงของอัตราการเต้นของหัวใจ ตามการออกแรงที่วัดได้จาก Power Meter สรุปผลการทดลอง หากฝึกซ้อมด้วยโปรแกรม Interval ที่เพิ่มความหนักของแรงอย่างรวดเร็ว และลดแรงลง ในช่วงสั้นๆ การใช้ Electrical Heart Rate Monitor แบบรัดหน้าอก น่าจะเหมาะสมกว่า Optical Sensor รัดข้อมือ ส่วนการออกกำลังแบบ Tempo ระยะเวลาต่อเนื่องยาวๆ สามารถใช้เครื่องมือวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ได้ทั้ง 2 แบบ แต่การตรวจการลดลงของอัตราการเต้นของหัวใจ การใช้ Electrical Heart Rate Monitor จะแม่นยำกว่า การเลือกใช้ ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องคำนึงถึงถึง โปรแกรมการซ้อม และความสะดวกสบายในการใส่ด้วย สุดท้ายนี้ ผมขอพูดถึงราคาอีกครั้งครับ ถ้าหากต้องการความแม่นยำ ควรไปที่ Electrical แบบคาดอกเลยครับ ส่วนถ้าต้องการความสะดวกสะบาย ไม่ซับซ้อน Optical อย่าง Garmin ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ Credit รูปภาพ: รูปภาพทั้งหมดเป็นรูปภาพของผู้เขียนเอง