ข้าวเกรียบ ถือเป็นของกินที่อยู่คู่กับคนทั่วโลกมานาน และคนไทยเราก็มักจะคุ้นเคยกับข้าวเกรียบห่อใหญ่ที่สามารถเห็นได้ตามมัดแขวนโชว์ตามร้านขายของชำทั่วไป แม้กระทั่งงานเลี้ยงสังสรรค์ ก็มิอาจหลีกเลี่ยงในการเอาข้าวเกรียบมาเป็นหนึ่งในเมนูกินเล่นให้กับแขกในงาน แม้ข้าวเกรียบจะเป็นอาหารที่สากล แต่ก็มีข้าวเกรียบอีกชนิดที่พิสูจน์แล้วว่าแตกต่าง ไม่เหมือนที่อื่นใด อีกทั้งเป็นที่ขึ้นชื่อในจังหวัดภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย คือ กรือโป๊ะ ข้าวเกรียบกรือโป๊ะ มีประวัติความเป็นมายาวนานในกลุ่มประเทศคาบสมุทรมลายู มีชื่อเรียกในแผ่นดินไทยว่า กรือโป๊ะ กือโป๊ะ หรือ กะโป๊ะ ซึ่งคำนี้ได้รับอิทธิพลมาจากภาษามลายูที่เรียกกันว่า เกโรโปะก์ (Keropok) ด้านภาษาอินโดนิเซียเรียกว่า กรุปุ๊ก (Krupuk) และภาษาตากาล็อกของฟิลิปปินส์จะเรียกว่า โกรเปก (Kropek) ดังนั้นจึงจะเห็นว่าข้าวเกรียบชนิดนี้เป็นอาหารกินเล่นในวัฒนธรรมกลุ่มประเทศอาเซียน แรกเริ่มกรือโป๊ะถือเป็นอาหารวัฒนธรรมของชาวอินโดนิเซียและมาเลเซียก่อน จนกระทั่งได้แพร่หลายเข้ามายังสยามประเทศทางชายแดนใต้ในช่วงที่สหราชอาณาจักรเข้ามาปกครองมาเลเซียในเวลานั้น ทำให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานของชาวมลายูที่ขึ้นมาทางเหนือจนมาถึงประเทศสยามในเวลานั้น โดยล่ำลือกันว่าที่บ้านดาโต๊ะ ตำบลแหลมโพธิ์ จังหวัดปัตตานี มีชาวมลายูในหมู่บ้านได้นำแป้งจากต้นสาคูมาผสมกับเนื้อปลาและเกลือทำเป็นข้าวเกรียบ จากนั้นก็นำไปนวดแป้ง ปั้นเป็นแท่งยาว และตัดเป็นชิ้น ๆ แล้วจึงนำไปต้มหรือนึ่งให้สุก ก่อนจะนำไปทอดอีกครั้งแล้วนำมากินเป็นอาหารหลักและกินเล่น ซึ่งข้าวเกรียบปลากรือโป๊ะ จะเป็นแบบทำสด เมื่อได้กัดเพื่อลิ้มรส จะมีความรู้สึกเหมือนได้กินลูกชิ้นปลาทอดที่เหนียว ๆ แต่ถ้านำข้าวเกรียบที่ทำสดไปตากแดดแทนการนึ่ง เมื่อนำไปทอดแล้วจะได้ข้าวเกรียบกรอบ พองฟู รสชาติดี กินเคียงคู่กับน้ำจิ้มจะเป็นอาหารที่ละมุนลิ้นอย่างยิ่ง โดยเนื้อปลาที่นำมาทำ จะเป็นเนื้อปลาทูและปลาหลังเขียว ที่เป็นปลาจากแหล่งน้ำในภาคใต้ตอนล่าง โดยเนื้อปลาเหล่านี้ทำให้ข้าวเกรียบจะมีสีคล้ำ และแตกต่างจากข้าวเกรียบกุ้งที่เราเห็นได้ทั่วไป ความน่าสนใจของกรือโป๊ะยังพบว่า ไม่จำเป็นต้องเปิดโรงงานหรือทำเป็นธุรกิจขนาดเล็กเพื่อนำเข้าเครื่องจักรมาผลิต เพราะกรือโป๊ะมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก วัตถุดิบหาง่าย และสามารถลงมือทำเองได้ตามวิธีดั้งเดิมที่ทำกัน คือนำเนื้อปลามาเลาะก้างออก แล้วนำเนื้อไปผสมกับแป้งมันสำปะหลัง เกลือและน้ำตาล จากนั้นก็นำมาคลุก บดจนละเอียดให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงนำมาปั้นเป็นก้อน หรือจะแบ่งหั่นเป็นชิ้น จากนั้นก็นำไปต้มในน้ำเดือดประมาณสิบถึงสิบห้านาที พักสะเด็ดน้ำ นำมาหั่นแบ่งชิ้นแล้วเอาไปทอดอีกครั้งให้กรอบ เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟและลิ้มรสอาหารได้ กรือโป๊ะ ถือว่าเป็นอาหารที่กินง่าย ได้ทุกกลุ่มวัย และเป็นอาหารฮาลาลที่ชาวมุสลิมสามารถทานได้ จึงทำให้เห็นว่าเมื่อลงไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ที่มีประชากรอิสลามเยอะที่สุด ชาวมุสลิมก็ทำขายกันมากมาย ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ส่งผ่านมาถึงรุ่นปัจจุบัน ที่มีการทำกรือโป๊ะไว้กินกันในครัวเรือน อีกทั้งยังมีการส่งขายไปยังจังหวัดอื่น ๆ มากมาย แม้กระทั่งในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ก็สามารถหาซื้อกรือโป๊ะสดได้ในย่านรามคำแหง สร้างรายได้มากมายให้กับคนในชุมชนที่เป็นผู้ผลิตข้าวเกรียบปลานี้ แม้จะเป็นวัฒนธรรมร่วมในคาบสมุทรมลายูแห่งภูมิภาคอาเซียน แต่ก็ถือว่ากรือโป๊ะ ก็เป็นอาหารที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์วิถีชีวิตในพื้นที่แห่งนี้ และถือเป็นขุมทรัพย์ที่เกิดจากภูมิปัญญาอย่างแท้จริง ที่จะยังคงอยู่คู่กับวิถีชีวิตชายแดนใต้ไปอีกหลายรุ่น