กฎหนึ่งโหลแห่งจักรวาล หรือเรียกอีกอย่างว่า " 12 กฎแห่งจักรวาล ( The 12 Universal Laws ) " มีดังต่อไปนี้ กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน ( THE LAW OF VIBRANT ENERGY )กฎแห่งจังหวะ (THE LAW OF RHYTHM )กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียว ( THE LAW OF DIVINE ONENESS)กฎแห่งแรงดึงดูด ( THE LAW OF ATTRACTION )กฎแห่งความสอดคล้องกัน ( THE LAW OF CORRESPONDENCE)กฎแห่งการกระทำ ( THE LAW OF ACTION )กฎแห่งเหตุและผล ( THE LAW OF CAUSE AND EFFECT )กฎแห่งการแทนที่ ( THE LAW OF COMPENSATION )กฎแห่งการมีอยู่ ( THE LAW OF PERPETUAL TRANSMUTATION OF ENERGY )กฎแห่งสัมพันธภาพ ( THE LAW OF RELATIVITY )กฎแห่งขั้วตรงข้าม ( THE LAW OF POLARITY )กฎแห่งเพศภาพ ( THE LAW OF GENDER ) 愚木混株 Cdd20 จาก Pixabay" /> 1. กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน ( THE LAW OF VIBRANT ENERGY / THE LAW OF VIBRATION )คือ กฎแห่งพลังงานคลื่นความถี่ทางความคิดของเราซึ่งทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทางความคิด เมื่อภายในความคิดเราเกิดจินตภาพหรือมโนภาพอะไรภายในใจ พลังงานรอบตัวเราก็จะเป็นไปตามสิ่งที่โลกภายในของเราเป็นเช่นนั้น หมายความว่า ถ้าพลังงานในตัวเราอยู่ในห่วงอารมณ์โกรธ หงุดหงิด ก็จะมีคลื่นความถี่แรงสั่นสะเทือน ขั้วพลังงานหรือสถานการณ์เชิงลบที่เป็นแบบเดียวกับภายในของเรา ถ้าพลังงานตัวเราเป็นพลังงานความสุข สนุกสนาน สถานการณ์รอบตัวเราก็จะมีแต่สิ่งที่ดีๆ เพราะตัวเราเป็นคลื่นแม่ความถี่แรงสั่นสะเทือนพลังงานเชิงบวกนั่นเอง 2. กฎแห่งจังหวะ ( THE LAW OF RHYTHM )คือ กฎของความไม่แน่นอน ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปตามกระแส มีเข้าและต้องมีออก มีขึ้นก็ต้องมีลง มีซ้ายและต้องมีขวา เป็นการแทนที่กันไปมาของจังหวะเวลา การมีความคิดบวกและความคิดลบเปลี่ยนสลับกันไปมา มีความสำเร็จและมีความล้มเหลว เมื่อถึงจุดสูงสุดก็ลงจุดต่ำสุดได้ เป็นกฎแห่งจังหวะที่หมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมา 3. กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียว ( THE LAW OF DIVINE ONENESS ) คือ กฎที่ทำให้เราเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเชื่อมต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด ความเชื่อ ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา หรือคนรอบๆตัวเรา เพราะตัวเรานั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราหวังจะให้คนอื่นได้รับหรือเป็นจะส่งผลกระทบต่อตัวเราเองโดยตรงเช่นกัน 4. กฎแห่งแรงดึงดูด ( THE LAW OF ATTRACTION )คือ พลังงานที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน ( LIKE ATTRACTS LIKE ) สิ่งที่เป็นแบบเดียวกันหรือคล้ายกันจะดึงดูดเข้าหากัน ไม่สามารถดึงดูดขั้วตรงข้ามได้ เราเป็นคนแบบไหนก็จะดึงดูดคนประเภทนั้น คนที่มีความคิดเชิงบวกก็จะดึงดูดคนเชิงบวกแบบเดียวกัน และเราจะไม่สามารถดึงดูดเข้าหาในสิ่งที่เราอยากเป็นแต่เราจะถูกดึงดูดเข้าหากับสิ่งที่เราคู่ควรหรือเป็นตัวเราเอง ( BE THE ENERGY YOU WANT TO ATTRACT ) 5. กฎแห่งความสอดคล้องกัน ( THE LAW OF CORRESPONDENCE )หมายความว่า โลกภายนอกหรือโลกทางกายภาพที่เราสามารถเห็นด้วยตาเปล่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ คนรอบตัว สถานการณ์รอบตัวเราไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างจากโลกภายนอกสะท้อนไปยังโลกภายในหรือในสภาวะข้างในจิตใจของเราเอง ถ้าเราต้องการที่จะเปลี่ยนชีวิตเราให้มีแต่สิ่งดีๆรอบตัว เราต้องเปลี่ยนอารมณ์ภายในจิตใจของเราหรือเปลี่ยนโลกภายใน ทั้งอารมณ์ ความคิดความรู้สึกและการรับรู้ต่างๆ โลกภายนอกถึงจะเปลี่ยนตามอารมณ์ความรู้สึกจากโลกภายในของเรา 6. กฎแห่งการกระทำ ( THE LAW OF ACTION )คือ กฎที่เกิดจากการที่เรามีแรงบันดาลใจในการที่จะลงมือกระทำทางกายภาพ ซึ่งการกระทำเหล่านั้นจะปรากฎความปราถนาภายในใจให้เห็นเป็นรูปธรรมทางกายภาพได้ โดยพลังของจักรวาลจะช่วยส่งสัญญาณหรือคอยช่วยเหลือว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นได้จริง โดยสัญญาณเหล่านั้นจะมาในรูปแบบข้อความ ผู้คน หรือสถานการณ์ คอยช่วยเหลือเรา 7. กฎแห่งเหตุและผล ( THE LAW OF CAUSE AND EFFECT )มีชื่อเรียกที่เข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่า " กฎแห่งกรรม " กล่าวคือ หว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น กระทำเหตุสร้างเหตุไว้ดี ผลแห่งการกระทำเหตุที่ดีก็จะได้ดีตามมา เริ่มต้นเหตุให้ชีวิตเต็มไปด้วยความรัก ความดีงาม จักรวาลก็จะมอบรางวัลของการกระทำความดีนั้นตอบแทน 8. กฎแห่งการแทนที่ ( THE LAW OF COMPENSATION )การที่จักรวาลจะประทานหรือมอบสิ่งที่เราปราถนาให้มีในชีวิตเราไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ มิตรภาพ ความรัก เราเองต้องมีพื้นที่ว่างสำหรับสิ่งดีๆที่จักรวาลจะมอบให้ เราต้องให้พลังงานกับสิ่งที่ดีงามและคู่ควรกับเรา เราถึงจะได้รับสิ่งที่เราปราถนาต้องการ อาทิ การเลือกคบเพื่อน เราควรเลือกคบกับคนที่คิดดีมีพลังงานบวก มีความจริงใจและตัดสินใจที่จะเดินออกจากคนที่ทำไม่ดีหรือส่งผลกระทบเชิงลบต่อชีวิตเราเพื่อที่จะมีพื้นที่ว่างบรรจุให้คนที่ดีและคู่ควรเข้ามาในชีวิตของเราแทน เป็นต้น 9. กฎแห่งการมีอยู่ ( THE LAW OF PERPETUAL TRANSMUTATION OF ENERGY ) เป็นกฎแห่ง " ความเชื่อ " ที่อยู่ในตัวเรา เราสามารถเปลี่ยนพลังงานลบเป็นพลังงานบวกได้ หรือสามารถสร้างให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตเราได้ให้เห็นทางกายภาพ ด้วยความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ปราศจากความสงสัยในสิ่งที่เราปราถนาหรือเกิดความแคลงใจในตัวเราเอง และด้วยความเชื่อนั้นจักรวาลก็จะบันดาลสิ่งที่ปราถนาให้ปรากฎมีอยู่จริง 10. กฎแห่งสัมพันธภาพ ( THE LAW OF RELATIVITY )กฎที่เกิดจากกการทดสอบของจักรวาลให้เราเผชิญกับอุปสรรคเป็นเพื่อให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น สามารถเป็นตัวตนที่ดีที่สุดในแบบของเราเอง ด้วยบททดสอบต่างๆหรือปัญหาที่เผชิญจะทำให้เราสามารถเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา และเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าตัวตนในแบบเดิม 11. กฎแห่งขั้วตรงข้าม ( THE LAW OF POLARITY )กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีเป็นคู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมีขั้วตรงข้าม ทุกสิ่งทุกอย่างคู่ขนานตรงข้ามกัน สิ่งที่ตรงข้ามก็สามารถเป็นสิ่งที่เหมือนกันทางธรรมชาติแต่ก็มีความแตกต่างกันตามลำดับ และมีความไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงได้เป็นไปตามกฎ กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีสองขั้วในตัวของสิ่งนั้นเอง อาทิ น้ำแข็งกับน้ำร้อนมีความแตกต่างกันแต่เริ่มต้นที่มาก็เป็นน้ำเหมือนกัน ในความมืดก็มีแสงสว่างและในแสงสว่างก็มีความมืดปะปนอยู่ 12. กฎแห่งเพศภาพ ( THE LAW OF GENDER )กล่าวคือ กฎแห่งเพศภาพนั้นอยู่ในทุกๆสิ่ง ทุกสิ่งมีความเป็นเกี่ยวพันกับเพศชายและเพศหญิงในตัวเอง ซึ่งหลักฐานที่เห็นได้ชัดกับการแจกแจงแบ่งความเป็นเพศหญิงและชายในตัวของมนุษย์ แต่เพศภาพนี้ไม่ได้มีเฉพาะในตัวของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์รู้จักหรือคุ้นเคย แต่ยังรวมถึงในพืช อิเล็กตรอนรวมถึงคลื่นแม่เหล็กก็มีเพศชายและหญิงเช่นกัน ความเป็นเพศหญิงที่สามารถอธิบายได้จะมีลักษณะในรูปแบบความรัก ความอดทน การหยั่งรู้ เป็นต้น ส่วนเพศชายจะอธิบายในลักษณะพลังงานความเชื่อมั่นในตนเอง การมีเหตุและผล เป็นต้น จาก " กฎหนึ่งโหลแห่งจักรวาล " ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ เราสามารถนำกฎต่างๆไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามความปราถนา เพราะตัวเราเองนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลที่สามารถสิ่งอัศจรรย์ความดีงามให้เกิดขึ้นในโลกภายนอกหรือทางกายภาพให้เกิดปรากฏขึ้นจริงได้ด้วยความเชื่อจากโลกภายในของเราเอง credit by : pixabayand pexelsภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4