Photo by www.imdb.com ผมไม่ใช่แฟนเดอะบีทเทิล ไม่ใช่แฟนตัวจริงที่รู้จักเพลงทุกเพลง ติดตามทุกอัลบั้ม รู้จักและได้ยินเพลงดังๆที่ผ่านหูมาตามสื่อทั่วไป ร้องเนื้อได้นิดหน่อยและคุ้นทำนองบางเพลง แต่เคารพพวกเขาพอสมควรกับเรื่องราวของพวกเขาและภาพที่ปรากฏ และรับรู้แล้วว่าโลกโดนขับเคลื่อนด้วยอิทธิพลของพวกเขาพอสมควร ดังนั้นพอได้ดูหนังเรื่อง Yesterday ผมจึงเข้าใจ ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าโลกนี้ไม่มีบีทเทิลหนังกำกับโดย แดนนี บอยล์ (Slumdog Millionaire, Trainspotting, 28 Days Later) และคนเขียนบท ริชาร์ด เคอร์ติส ( Notting Hill, Love Actually หรือ About Time ) การันตีความน่าดูได้ในระดับ เอบวก แต่เอาจริงๆ นะ หนังไม่ได้ดีมาก มันไม่ได้ไปสุดในสักทางหนึ่ง แต่แค่หนังเริ่มเรื่องมาถึงตอนที่ไฟดับหมดโลกแล้วเรื่องราวของเดอะบีทเทิลได้หายไป โลกนี้กลายเป็นฮาร์ดดิสที่ถูกลบทุกไฟล์ที่เกี่ยวกับบีทเทิลไป และมีคนเพียงคนเดียวที่จำได้ เมื่อเรื่องเดินมาถึงตรงนี้ ผมรู้ได้ทันทีว่านี่มันพล๊อตล้ำโลกที่ฉลาดมาก ๆถ้าได้ฟังเรื่องแค่นี้ เราคิดต่อได้ทันที ถ้าเราเป็นคนนั้น ซึ่งตอนนั้นเราคือนักดนตรีข้างถนนที่กำลังใต่เต้าไปสู่ดวงดาว ในโลกที่ทุกคนมองหาเพลงฮิต เราจะร้องเพลงของบีทเทิลแล้วทุกคนต้องปรบมือ ถามว่าเพลงใคร ไม่มีใครรู้จักบีทเทิลแล้ว เราจะบอกว่ามันคือเพลงของเราหรือเปล่า ไม่รู้แหละ แต่ตัวละครบอกว่านี่เป็นเพลงของเขาเอง (แม้จะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง)หนังน่าจะไปให้สุดในประเด็นนี้ แล้วยังไงต่อ แม้จะเล่นประเด็นนี้ได้จริงและเจ็บพอสมควรแต่หนังก็เลือกที่จะทำให้มันกลายเป็นหนังรัก แต่มันก็ไม่ได้เป็นหนังรักที่น่าประทับใจเท่าไร คือมันไม่ได้น่าจดจำในประเด็นความรัก แต่ก็มีเรื่องที่กระทบใจอยู่ ประเด็นที่เมื่อนักดนตรีคนนั้นไปถึงฝันแล้ว เขาก็พบความกดดันหลายอย่าง จนรู้สึกว่าเขาอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไปเล่นดนตรีข้างถนน สอนหนังสือเด็กแล้วก็บอกรักผู้หญิงที่เขาควรบอกรักมาตั้งนานแล้ว เหมือนยักษ์ที่ออกมาจากตะเกียงวิเศษแล้วให้พร พรข้อแรกทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริง และพรข้อสอง พากลับไปสู่จุดเริ่มต้นPhoto by www.rottentomatoes.comเรื่องนี้น่าคิด สำหรับมนุษย์ผู้มีฝัน เราไม่เคยอยากได้พรแค่ข้อเดียว เราต้องการมากกว่าหนึ่ง เพื่อไปถึงฝันและเพื่อกลับคืนจุดเดิม แต่ส่วนมากเราเลือกได้แค่ข้อเดียว เราอยากไปให้ถึงฝันอยู่เสมอ ตีตั๋วเที่ยวเดียวแล้วไปจมอยู่กับความสำเร็จ มีแค่คนที่เหมาะกับแสงสีตรงนั้นเท่านั้นที่จะอยู่กับมันได้ สำหรับคนผู้ไม่มีความสุขกับปลายทาง ไม่มีตั๋วกลับไปที่เดิม นอกจากทนอยู่กับมันจนกว่าจะถึงจุดจบ แบบใดแบบหนึ่งฉากที่เขากลับไปร้องเพลงให้เด็กฟังในโรงเรียน ได้แต่งงานกับหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด ได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนกลุ่มเดิม บนถนนสายที่วิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือฉากที่บอกว่า เราควรหันมามองสิ่งที่ตัวเองต้องการที่แท้จริง จะเป็นอย่างเดอะบีทเทิลหรือ พวกเขามีสิ่งที่ต้องจ่ายอะไรบ้าง อัจฉริยะก็มีที่ยืนของอัจฉริยะ มีราคาที่ต้องจ่าย และมีต้นทุนเรื่องมุ่งไปดวงดาวนี่เหมือนเราจะไปดาวจริงๆ เลย ก่อนจะออกไปสู้กับอวกาศนอกแรงโน้มถ่วงโลกเราต้องถูกฝึกและมีความพร้อมหลายด้าน นอกเหนือจากเครื่องมือต้องพร้อมแล้ว มนุษย์อวกาศถูกประเมินตลอดเวลาว่าใครจะได้ออกไป ใครจะได้เหยียบดวงจันทร์แล้วใครแค่ขับยานวนรอบๆ และ ใครแค่เช็ดฝุ่นบนสถานีภาคพื้นดิน มีแต่คนที่เหมาะสมเท่านั้นนี่อาจค้านกับแนวคิดที่ว่ามนุษย์เราทำได้ทุกอย่าง หรือ เราเป็นอะไรก็ได้เท่าที่เราอยากเป็น นั่นก็จริง แต่บางครั้ง มันไม่จริง เราทำได้ทุกเรื่องก็จริง แต่จะให้ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นคนละอย่างกัน บางเรื่องมีไว้สำหรับบางคนทีนี้เรื่องน่าสนใจ ถ้าบีทเทิลเกิดในยุคนี้ เขาจะยังโด่งดังเป็นอมตะเท่านี้ไหม หนังแสดงให้เห็นแล้วว่า ก็ไม่แน่ เพลงบีทเทิลจะดีกว่าเพลงของเอ็ด ชีแรนหรือเปล่า ก็ไม่แน่ หูของคนยุคนี้จะซาบซึ้งกับเพลงของพวกเขาไหม ก็ไม่แน่ มันอาจจะเป็นเพลงที่ดี แต่มันจะฮิตหรือเปล่า นั่นสิ และที่สำคัญ พวกเขาจะใส่ท่อนแรปในเพลงไหนบ้าง หรือดนตรีจะเปลี่ยนไปแบบไหน อย่างตอนที่เอ็ด ชีแรนบอกว่าให้เปลี่ยนคำว่า Jude เป็น Dude มันบอกอะไรได้มาก สิ่งหนึ่งสิ่งใดถูกประเมิณค่าด้วยตาชั่งของยุคนั้น ความอมตะและอัจฉริยะของเดอะบีทเทิลถูกตั้งคำถาม มันจะดีจริงไหม ถ้ามาอยู่ในยุคนี้ และคำถามสำคัญ ถ้าโลกนี้ไม่มีบีทเทิล จะเป็นแบบไหนPhoto by www.rottentomatoes.com กลับมาที่นายพระเอกผู้เป็นคนเดียวที่จำเพลงอมตะพวกนั้นได้ จริงๆ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว มีคนอีกหลายคนที่จำได้ แต่ในหนังปรากฏแค่สองคน พระเอกของเราไม่ได้สบายใจนักหรอก กับการแอบอ้างเพลงของคนอื่นเป็นของตัวเอง มันเล่นล้อกับเรื่องลิขสิทธิ์ในปัจจุบัน การคัฟเวอร์เพลงและกรณีใครตัวจริงใครตัวปลอม เราจะร้องเพลงไม่ฮิตของตัวเองหรือจะร้องเพลงดังๆของคนอื่น พระเอกคนนี้คงรู้สึกเจ็บจี๊ดทุกครั้งที่มีคนถาม คุณแต่งเพลงเองหรือเปล่า เขาไม่สบายใจนัก แต่ไม่รู้จะบอกใครอย่างไร กระทั่งว่าแฟนเพลงผู้ยังจำบีทเทิลได้มาขอพบ นั่นเป็นอีกมุมมองซึ่งไม่มีใครคิด พวกเขาขอบคุณ ที่ทำให้เพลงของบีทเทิลไม่หายไป คำพูดของหนึ่งในนั้นบอกว่า โลกที่ไม่มีบีทเทิลเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่จริงๆ เราใส่คำอื่นๆ แทนคำว่าบีทเทิลได้เลย แต่สองคนนั้นยืนยันเรื่องนี้มีหลายเรื่องที่เราไม่ทันในช่วงวัยของเรา พ่อแม่อาจจะหลงใหลเพลงยุคตัวเอง ลูกๆกด็เป็นอีกอย่าง ผู้ใหญ่ลองห้ามไม่ให้เด็กทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบสิ สักอย่าง ยึดโทรศัพท์ของพวกเขา ห้ามฟังเพลงแรป แน่ละสิ โลกที่ไม่มีเพลงแรป พ่อแม่ก็อยู่ได้ แล้วโลกที่ไม่มีบีทเทิล เด็กๆ ก็อยู่ได้ เพราะพวกเขาไม่เคยรู้จักอยู่แล้ว ไม่เคยรู้ว่ามันมีมีอีกฉากที่ไม่สามารถหาที่มาที่ไปได้ แต่ก็ชอบ นั่นคือฉากที่พระเอกไปพบจอห์น เลนนอนในวัย 75 ในขณะที่เรื่องจริง จอร์น เลนนอนถูกยิงตายไปแล้ว ก็ในเมื่อโลกนี้มันกลับหัวกลับหาง ในเมื่อมันไม่มีบีทเทิล จอห์น เลนนอนก็เป็นเพียงนักท่องเที่ยว คนสันโดษ คนแก่ธรรมดา และจะไม่ถูกยิงตายโดยแฟนเพลงของเขา ใช่ เขาจะไม่ได้เจอ โยโกะ โอโนะ ด้วย เขาจะไม่แก้ผ้าแล้วเริ่มต้น เมคเลิฟโนวอร์ ที่ชอบฉากนี้เพราะจอห์นเลนนอนไม่ตาย ใช่แล้ว เราอยากกลับไปจุดนั้น มันจะดีไหมนะ กับการที่ไม่มีบีทเทิลแล้วจอห์นเลนนอนไม่ตาย แฟนเพลงจะยอมแลกกันไหมPhoto by www.rottentomatoes.com หนังทำให้ความคุ้นชินของหนังแนวนี้เปลี่ยนไปพอสมควร อย่างแรก ปฎิกิริยาของคนที่ฟังเพลงซึ่งเราคิดว่าพวกเขาน่าจะตะลึงแล้วเพลงมันก็ฮิต กลายเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครตะลึงกับเพลงหรอก แม้แต่พวกโปรดิวเซอร์และบริษัทเพลง พวกเขาแค่มองหาวิธีที่จะทำให้เพลงฮิต แต่ฉากที่พระเอกร้องเพลง Let it be ให้พ่อแม่ฟัง ผมรู้สึกว่าเพลงเพราะจังเลย มันถูกร้องใหม่ หรือว่ามันอยู่ในหนังกันแน่ มันจึงไพเราะ และเพราะเพลงนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกถึงอัจฉริยะของพวกเขา ในยุคที่มีเพลงเป็นล้านเพลงใหม่ๆ ทุกวัน จะมีเพลงไหนที่จับใจตั้งแต่ประโยคแรก และ กี่ปีมาแล้ว ทำไมเพลงของพวกเขายังสดใหม่ ราวกับเพิ่งแต่งเมื่อวานนี้เอง ขาดแค่ท่อนแรปเท่านั้นไม่ว่าโลกนี้จะมีบีทเทิลหรือไม่ เราก็ยังอยู่ได้ สนใจคนรอบข้าง ฟังเสียงหัวใจตัวเองและปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปที่มาของภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/Yesterday_(2019_film)ตัวอย่างหนัง https://www.youtube.com/watch?v=6uqvgPm8U4c