ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอะไรนัก ถ้าจะยกให้ Holding the Man เป็นหนังรักโรแมนติกน้ำดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสัญชาติออสเตรเลีย ของผู้กำกับสุดยอดฝีมืออย่าง Neil Armfield โครงสร้างจากชีวิตจริง ดัดแปลงมาจากหนังสือบันทึกชีวิตของ ทิโมที คอนิเกรฟ ผู้เป็นนักแสดง นักเขียน และนักกิจกรรมของออสเตรเลีย ตีพิมพ์ออกมาในปี 1995 ไม่กี่เดือนหลังจากคอนิเกรฟเสียชีวิตลง เป็นเรื่องของผู้ชายรักร่วมเพศ ทิโมที คอนนิเกรฟ (Ryan Corr) กับ จอห์น คาลีโอ (Craig Matthew Stott) ทั้งคู่ได้มีใจให้กันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ความสัมพันธ์ของพวกเขาถลำลึกมากขึ้นทุกวัน จนความไปถึงหูครอบครัว ทำให้ครอบครัวของทั้งคู่ไม่โอเค ร้องขอให้ยุติความสัมพันธ์ลง แต่ ‘Dopamine’ ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี ไวต่อสิ่งกระตุ้น สารที่ทำให้มีความสุขหลั่งออกมามากเกินไป พวกเขาไม่จบตามที่ครอบครัวร้องขอ กลับจูงมือกันออกจากบ้าน ไปอยู่ที่อื่น ที่ ๆ ทำให้เขารักกันได้ แล้วร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานถึง 15 ปี ตลอดช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันหนังได้หยิบยกประเด็นต่าง ๆ มาเล่าเยอะมาก อย่างในตอนที่เริ่มต้นคบกันแบบจริงจัง คอนนิเกรฟเขาพัฒนาความสัมพันธ์เร็วมาก คบกันได้ไม่กี่วันก็ขอจอห์นมีเซ็กส์ด้วยแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร มันขึ้นอยู่กับความสะดวกใจของทั้งสองคน ในเมื่อจอห์นยังไม่พร้อม คอนนิเกรฟก็เคารพและให้เกียรติ ไม่ข่มขู่ ข่มขืนต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพของ LGBTQด้วยความที่หนังมันเล่ายุค 70’s แน่นอนว่าสังคมยังไม่ยอมรับ กีดกันคนรักร่วมเพศอยู่ ในตอนที่พ่อของคอนนิเกรฟรู้ว่าเขาเป็นเกย์ พ่อคิดว่าเขาป่วย เขาแค่อยากรู้ อยากลอง โตขึ้นเดี๋ยวก็คงหายเอง แต่เขาก็ยืนยัน พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นเกย์ ชอบผู้ชายสังคมมีความ Homophobia “เกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน” บางคนกลัวจะได้รับเชื้อเอดส์ พวกเขามีความคิดว่าเกย์เป็นสาเหตุการแพร่ระบาด AIDS/HIV เพราะผู้ป่วยคนแรกที่ตรวจพบว่าติดเชื้อเป็นชายรักร่วมเพศ จอห์นและคอนนิเกรฟรวมกลุ่มกันเพื่อน ๆ ชาวสีรุ้ง รณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ถึงแม้สังคมยังต่อต้านอยู่ แต่กลับกันครอบครัวเริ่มเข้าใจพวกเขาทีละนิด ๆ บทพิสูจน์ความรักที่มีต่อกันคบกันไปได้สักระยะแล้วมารู้ว่าเลือดเป็น POSITIVE กันทั้งคู่ แต่ก็ไม่เอามาเป็นประเด็นทะเลาะกันว่าใครเป็นคนแพร่ให้ใคร พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น รักษา และใช้ชีวิตคู่กันต่อไปอย่างมีความสุข เหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดีแต่วันหนึ่งก็มีเหตุให้พวกเขาต้องมีระยะห่างกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเขาฝ่าฟันไปได้ ชีวิตคู่ของเขาโชกโชนสุด ๆ เรื่องเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น ในวันหนึ่งจอห์นล้มป่วยลงด้วยโรคอะไรหนังไม่ได้เล่าละเอียด แต่คาดว่าน่าจะมะเร็งเกย์ (AIDS/HIV) เป็นบทพิสูจน์รักแท้ที่หนักและยิ่งใหญ่มาก ทุกคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ใครรักเราจริง ให้ดูตอนที่ลำบาก’ สามารถใช้ได้กับตอนนี้ไม่มีผิด คอนนิเกรฟดูแลจอห์นเป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้เขาต้องเผชิญกับโรคร้ายเพียงลำพัง จู่ ๆ วันหนึ่งคอนนิเกรฟก็ล้มป่วยตาม เขาไม่บอกให้จอห์นรู้ เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว ดูแลตัวเองอย่างดีเพื่อที่จะได้ดูแลจอห์นให้หายป่วย แต่แล้วจอห์นก็สู้ไม่ไหว โรคร้ายเลยพรากชีวิตเขาไปอย่างไม่มีวันหวนคืน : Will you screw me? ประโยคสั้น ๆ แต่กินใจคนดูอย่างมาก หลังจากที่จอห์นป่วย รูปพรรณสัณฐานเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่สดใส ไม่งดงามเหมือนแต่ก่อน ความรู้กลัวถูกรังเกียจก็แทรกเข้ามาอัตโนมัติ หลังจากประโยคนั้นคอนนิเกรฟไม่ได้ตอบด้วยคำพูด เขาแสดงออกด้วยการกระทำกอดจูบจอห์นด้วยความรักและมีเซ็กส์แบบปลอดภัย หนังสะท้อนให้เห็นเลยว่าความรักของชายรักชายก็จีรังได้เหมือนกับชายหญิง และในบางครั้งความรักชายหญิงก็ไม่ได้สมหวังเสมอไป ดังนั้นเราควรศรัทธาในความรักโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นใคร เพศไหน พลังความรักยิ่งใหญ่เสมอ สร้างสิ่งที่งดงามได้มากมาย และในขณะเดียวกันก็สามารถทำลายให้เหลือแต่เศษผงได้เหมือนกัน หนังว่าดีแล้ว ซาวด์แทร็กก็ดีไม่แพ้กัน Forever and a Year เพลงประกอบที่ถูกขับร้องโดย Rufus Wainwright นักประพันธ์เพลงชาวอเมริกัน-แคนาดา ด้วยเนื้อเสียงที่ทรงพลังทำให้เขาถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้ถึงอารมณ์ นอกจากนี้เขายังมีผลงานเขียนเพลงคลาสสิก โอเปร่า และเคยแต่งเพลงให้ละครเวทีอีกด้วย เขียน : Isalineภาพ : FilmIsNow Movie Trailers @Holding the Man