ที่เที่ยวในอเมริกา ไม่ได้มีแค่ นิวยอร์คซิตี้ และ ซานฟรานซิสโก เท่านั้นนะคะ สถานที่แปลกตาแปลกใจยังมีให้เราดูอีกมากมายในประเทศนี้ อย่างเช่น ประภาคาร ก็เป็นที่เที่ยวยอดนิยมของคนอเมริกันที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และทะเลเลยล่ะ ประภาคารที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในอเมริกา ก็คือ Cape Hatteras Lighthouse เป็นส่วนหนึ่งของ The Cape Hatteras National Seashore อุทยานชายทะเลแห่งชาติเคพแฮทเทอร์รัส Cape Hatteras Lighthouse อยู่ที่เมืองบักซ์ตัน รัฐนอร์ธแคโรไลน่า ประเทศอเมริกา (Buxton, North Carolina, USA) การเดินทางด้วยรถสาธารณะไม่มีให้บริการในเส้นทางนี้ จะไปเที่ยวก็ต้องขับรถไปเองค่ะ ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ก็ไม่มีปัญหา เพราะอเมริกามีบริษัทรถเช่าให้บริการมากมาย มีให้เลือกหลายราคา ได้รถแล้วก็จิ้มจีพีเอส หรือ กูเกิ้ลแมพ นำทางได้เลยค่ะ สะดวกสบาย ง่ายมากๆ นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในอเมริกา ไม่มีใบขับขี่ของประเทศนี้ ก็ต้องมีใบขับขี่สากล หรือ ชื่ออย่างเป็นทางการ คือ ใบขับขี่ระหว่างประเทศ ถ้าไม่มีใบนี้ก็ไม่สามารถเช่ารถในอเมริกาได้ รายละเอียดในการขอใบขับขี่สากล เช็คในเว็บไซด์ของ กรมการขนส่งทางบก ได้เลยค่ะ ประเทศอเมริกา จะมีประภาคารเยอะมากน่าจะหลายร้อยแห่ง ขับรถตระเวณดูกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ ประภาคารเคพแฮทเทอร์รัส อันนี้เลย เพราะประวัติความเป็นมา มันไม่ธรรมดา Cape Hatteras Lighthouse สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1802 (พ.ศ. 2345) ถ้าเทียบกับเมืองไทย ก็อยู่ในสมัยของรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั่นแล สาเหตุที่ต้องสร้างเนื่องจาก เรือเดินทะเลลำใหญ่ๆ ชอบใช้เส้นทางนี้กันมาก เพราะทะเลแถวนี้มีกระแสใต้น้ำที่เหมาะสมกับการเดินเรือเป็นที่สุด ยกเว้นบริเวณที่เรียกว่า Diamond Shoals คือแถวใกล้ๆ ชายฝั่งไม่ห่างจากที่ตั้งของประภาคารเคพแฮทเทอร์รัสเท่าไรนัก ที่จะมีกระแสน้ำอุ่น Gulf Stream ของมหาสมุทรแอตแลนติก ไหลมาปะทะกับ กระแสน้ำเย็น Labrador Current ทำให้น้ำในมหาสมุทรบริเวณนั้นเกิดการปั่นป่วน เหมือนมีพายุใต้น้ำอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า Sea Swells ไอ้เจ้า Sea Swells หรือกระแสพายุใต้น้ำนี่แหละ ทำให้เรือเดินสมุทรในสมัยโบราณต้องอัปปางลงมากมายในบริเวณนี้ จนได้รับฉายาว่า Graveyard of the Atlantic สุสานเรืออัปปางของมหาสมุทรแอตแลนติก รัฐบาลอเมริกันเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน จึงต้องสร้างประภาคารแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อส่องแสงเป็นสัญญาณบอกทางให้กับเรือเดินสมุทรทุกลำที่แล่นผ่านมาใกล้ๆ และ 218 ปีต่อมา Cape Hatteras Lighthouse ก็ยังคงยืนหยัดอยู่คู่กับแอตแลนติกตลอดมา แม้ทุกวันนี้มันจะลดความสำคัญลงไปแทบหมดสิ้นจากการเดินเรือ เพราะเดี๋ยวนี้เรือทุกลำจะมีสัญญาณจีพีเอส ไม่ต้องอาศัยแสงไฟบอกทางจากประภาคารอีกต่อไป ประภาคารวันนี้เลยทำหน้าที่ใหม่ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับคนที่โหยหาอดีต, ชอบประวัติศาสตร์ และชอบทะเล เพราะแน่นอนว่า จะมีประภาคารก็ต้องมีทะเล หรือทะเลสาบ มันเป็นของคู่กัน ใกล้ๆ กับประภาคาร จะมีพิพิธภัณฑ์ของ Cape Hatteras Lighthouse ซึ่งอาคารหลังนี้ในอดีตเคยเป็นที่พักอาศัยของคนดูแลประภาคารในสมัยก่อน เข้าชมฟรี ส่วนบ้านหลังนี้อยู่ใกล้ๆ กัน ในอดีตก็เคยเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวคนดูแลประภาคารเช่นกัน ปัจจุบันปิดไว้ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปชมภายใน ถ้าอยากขึ้นไปดูวิวบนยอดประภาคารแห่งนี้ ก็ต้องมาในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี (เช็ควันที่เปิดให้เข้าชมได้จากเว็บไซด์ของอุทยาน) เพราะเป็นช่วงที่ทางอุทยานจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นบันไดวนไปชมวิวด้านบนสุด โดยต้องเสียค่าธรรมเนียม คนละ 8 ดอลลาร์อเมริกัน (ประมาณสองร้อยห้าสิบบาท) ส่วน เด็ก คนชรา ผู้พิการ จะได้รับส่วนลดครึ่งหนึ่ง เหลือคนละ 4 ดอลลาร์อเมริกัน หน้าตาของบันไดวนภายในประภาคาร ถ้าจะขึ้นก็ต้องเดินวนไปแบบนี้จนถึงยอด เห็นแล้วทดท้อ ป้าเลยไม่เคยขึ้นสักทีแม้จะไปเที่ยวที่นี่หลายครั้งแล้ว ก็นะ.. ต้องเสียเงินแล้วยังเหนื่อยแทบขาดใจ ป้าขอแหงนคอตั้งบ่าดูยอดประภาคารจากพื้นดินก็พอ เพราะมันฟรีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเดินเที่ยวถ่ายรูปรอบๆ ประภาคาร ภาพโครงสร้างของบันไดภายในประภาคาร ที่ป้าถ่ายมาจากภาพที่โชว์ในพิพิธภัณฑ์ แบบนี้เรียกว่า ป้าถ่ายรูปเองได้ไหม เพราะเขาก็ไม่ได้ห้ามถ่ายรูปในพิพิธภัณฑ์เลย และสิ่งที่ทำให้ประภาคาร เคพแฮทเทอร์รัส โด่งดังมากที่สุดในอเมริกา นอกจากประวัติที่ป้าเล่าอย่างคร่าวๆ ไปแล้ว ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือ ในสมัยโบราณเมื่อแรกสร้าง ประภาคารมันไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่มันอยู่ติดชายหาดมากกว่านี้เกือบหนึ่งกิโลเมตร เนื่องจากชายหาดโดนคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง จนพื้นดินหายไปกลายเป็นทะเลเข้ามาใกล้ที่ตั้งประภาคารทุกที ฐานที่ตั้งประภาคารเคพแฮทเทอร์รัสในตอนก่อนย้าย จะอยู่ห่างจากน้ำเพียงแค่ 4.6 เมตรเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายประภาคารให้ถอยร่นลึกเข้ามาในแผ่นดิน นับเป็นการย้ายสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยอิฐและปูนที่สูงที่สุดในโลก เพราะตัวประภาคารทั้งหมดสูง 210 ฟุต การย้ายประภาคารครั้งนั้น ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงทางด้านวิศวกรรมอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และสามารถย้ายได้อย่างประสบความสำเร็จ มันน่าทึ่งมาก จึงทำให้ประภาคารแห่งนี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เรียกการย้ายครั้งนั้นว่า The Move of the Millennium การย้ายแห่งสหัสวรรษ (การย้ายที่โดดเด่นในรอบพันปี) ที่ตั้งของประภาคารเคพแฮทเทอร์รัสในปัจจุบันที่เราเห็น มันถูกเคลื่อนย้ายเข้าฝั่งมา 880 เมตร (เกือบ 1 กิโลเมตร) ในรูปข้างล่างนี้ ตรงเส้นประแสดงให้เห็นถึงแนวชายฝั่งในปีต่างๆ ก่อนที่จะโดนคลื่นกัดเซาะจนกลายเป็นทะเล ถ่ายภาพมาจากภาพในพิพิธภัณฑ์ของประภาคาร ประภาคาร Cape Hatteras อยู่บนเกาะแฮทเทอร์รัส และเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ Outer Banks (หมู่เกาะเล็กๆ ที่ทอดยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเลของแผ่นดินใหญ่ในรัฐ North Carolina) มีความยาวประมาณ 4-500 กิโล มีสะพานเชื่อมระหว่างบางเกาะ บางแห่งก็ต้องขับรถลงเรือเฟอร์รี่ไปอีกเกาะหนึ่ง บางครั้งก็ต้องขับเข้าแผ่นดินใหญ่ เพื่อหาทางข้ามไปอีกเกาะหนึ่ง ใครนึกภาพไม่ออก ลองค้นดูในกูเกิ้ลแมพ เขียนคำว่า Outer Banks, North Carolina หมู่เกาะแห่งนี้นับเป็นสวรรค์ของชาวอเมริกันและนักท่องเที่ยวผู้หลงรักทะเลอย่างแท้จริง ทุกๆ หน้าร้อน จะมีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนอยู่ในเกาะแห่งนี้มากมาย เพราะนอกจากชายหาดที่สวยงาม น้ำทะเลสีฟ้าใส ก็ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่งมาก มีประภาคารทั้งหมด 5 แห่ง ใช้เวลาขับรถจากกรุงวอชิงตันดีซี ประมาณ 6 ชั่วโมง มีชื่อเสียงในเรื่องมีลมแรงทั้งวัน จนกระทั่งพี่น้องตระกูลไรท์ ต้องมาทดลองบินกันที่นี่หลายปี จนประสบความสำเร็จในที่สุด ถือเป็นสถานที่กำเนิดเครื่องบินของโลกได้เลย แล้ววันหลังจะมารีวิวให้ดูนะคะ ภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน