ธุรกิจท่องเที่ยวหรือการเดินทางข้ามประเทศเป็นอีกธุรกิจที่มีความสำคัญในหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยที่รายได้หลักของประเทศกันเลยทีเดียว แต่เมื่อวิกฤตไวรัส Covid-19 แพร่ออกมา ทำให้นานาประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง ธุรกิจการเดินทางผ่านเครื่องบินก็ได้รับผลหนักที่สุด เพราะมีการปิดประเทศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด ทำให้ขาดรายได้มหาศาลทำคนตกงานมากมายถึงในตอนนี้สถานการณ์ในบางประเทศจะเริ่มฟื้นตัวมาบ้างแล้ว มีการเปิดสายการบินบ้างเล้กน้อย แต่ว่าการท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงโคม่าอยู่ดี ดังนั้นในช่วงเวลานี้มันเลยเกิดสิ่งที่เรียกว่า Travel Bubble ขึ้นมา เพื่อรองรับ-แก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับประเทศที่เริ่มฟื้นตัวและต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจเมื่อพูดถึง Travel Bubble หลายคนอาจจะงงหรือยังไม่รู้จักว่ามันคืออะไรนั้น โดย Travel Bubble มันก็คือสัญญาที่ตกลงกันระหว่าง 2 ประเทศหรือมากกว่านั้น เพื่อให้มีการเดินทางระหว่างประเทศ ไปมาหากันได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการกักตัว 14 วัน ซึ่งประเทศที่ทำสัญญาแบบนี้จะต้องมีจำนวนผู้ติดเชื้อในปริมาณที่น้อยหรือสามารถควบคุมไม่ให้ลุกลามได้สัญญาดังกล่าวมันก็เปรียบเหมือนกับฟองอากาศครับที่เกาะตัวไปด้วยกัน มันก็เลยถูกเรียกว่าเป็น Travel Bubble จุดประสงค์ของมันก็จะเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาการเดินทางข้ามประเทศ เพื่อให้นักธุรกิจต่างชาติสามารถเข้ามาทำธุรกิจ หรือเปิดรับประชาชนทั่วไปให้เดินทางเข้า-ออกต่างประเทศได้เสรี มันจะเป็นการแก้ปัญหาได้ดีโดยที่เราไม่จำเป็นต้องรอยารักษาโรคให้เสียเวลา เพราะถ้าถึงตอนนั้นสภาพเศรษฐกิจอาจจะทรุดตัวลงไปมากกว่านี้ ดังนั้นการมี Travel Bubble จึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ สำหรับประเทศที่ควบคุมโรคได้แล้วส่วนประเทศที่เข้าข่ายในปัจจุบันตอนนี้จะมีกลุ่มประเทศ ลัตเวีย, ลิธัวเนีย ที่ได้ประเดิมไปก่อนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางด้านกลุ่มประเทศยุโรปแม้ว่าจะมีหลายประเทศยังมีการแพร่เชื้ออย่างหนัก แต่กลุ่มประเทศ สวิตเซอร์แลนด์, เยอรมันนี, ออสเตรีย ก็กำลังมีการพิจารณาเปิดให้เดินทางในช่วงเดือนมิถุนายนทางด้านประเทศไทยเองก็ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแล้ว (ขณะนี้) สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงพิจารณาขั้นตอนอยู่ครับ แม้จะยังไม่ทราบว่าจะเริ่มมาตรการเมื่อไหร่ แต่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างแล้วล่ะครับเพราะธุรกิจด้านท่องเที่ยวจะได้ขับเคลื่อนเสียที อย่างไรก็ตามการทำ Travel Bubble นี้ต้องพิจารณาประเทศคู่สัญญาด้วยว่า มีแนวทางการควบคุมโรคเหมือนกันหรือไม่ และต้องเกื้อหนุนซึ่งได้ดีอีกด้วยก็ถือว่าเป็นวิธีที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ยอดเยี่ยม ซึ่งคาดว่าหลังหมด Covid-19 อาจจะมีหลาย ๆ ประเทศที่ใช้โมเดลแบบนี้เป็นแกนหลักในด้านการท่องเที่ยว เป็นอีกวิถีของ New Normal ก็ได้ครับ แถมยังทำให้ผู้คนที่อยากท่องเที่ยวรู้สึกว่าพวกเขามีความปลอดภัย ได้ปลดปล่อยหลังจากอดทนเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลานานอีกด้วยที่มารูปภาพ: รูปภาพปก / รูปภาพ 1 / รูปภาพ 2 / รูปภาพ 3