“เราต่างทุกทรมานกับความทะนงตนทางจิตวิญญาณ” ก่อนหน้านี้ผมกำลังคิดที่จะเลือกหนังอยู่เรื่องหนึ่งให้เป็นหนังที่ผมชอบมากที่สุดของปีนี้ แต่แล้วเมื่อคืน หลังจากดูหนังเรื่องหนึ่ง ก็เปลี่ยนใจทันที และยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ชอบที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ทันที นั่นคือ The Two Popesหนังสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง (Inspired by true events) ถึงบทสนทนาของชายสองคน คนหนึ่งดำรงสถานะ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 (Pope Benedict XVI) ส่วนชายอีกคนหนึ่งดำรงสถานะ พระคาร์ดินัล ฮอร์เก แบร์โกลิโอ (Cardinal Jorge Bergoglio) จากอาร์เจนตินา ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการเลือกจากเหล่าพระคาร์ดินัล ให้ขึ้นเป็น พระสันตะปาปาฟรังซิส (Pope Francis)การสนทนาของทั้งสองคนเกิดขึ้นในปี 2012 เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 จะประกาศสละตำแหน่งโดยสมัครใจในปี 2013 การพบกันครั้งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของทั้งสองคนที่คล้ายๆ กันนั่นคือการเดินออกจากสถานะที่ตัวเองดำรงอยู่ ด้วยความเชื่อมโยงจากสัญญาณของพระเจ้าการสละตำแหน่งโดยสมัครใจของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างมากสำหรับศาสนจักร เพราะโดยทั่วไป พระสันตะปาปา จะดำรงอยู่จนกว่าจะสิ้นพระชนม์ จากนั้นจึงจะทำการคัดเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งแทน ครั้งสุดท้ายที่มีการสละตำแหน่งโดยที่ยังมีพระชนม์ชีพ ก็เมื่อกว่า 700 ปีที่แล้ว ภายใต้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะดำรงอยู่เพื่อสะสางปัญหาต่างๆ เหล่านั้น หรือจะเปลี่ยนผ่านให้กับคนใหม่ได้เข้ามารับมือ นำมาสู่การนัดหมายเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่แข่งขัน และถือว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับตัวเองมากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อตกตะกอนความคิดให้กระจ่างชัด ก่อนตัดสินใจหนังดำเนินเรื่องผ่านบทสนทนาที่ต่างแสดงจุดยืนของตัวเองกับความคิดของอีกฝ่าย จากในช่วงแรกที่หนังสื่อให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสุดขั้วทั้งความคิด มุมมอง การใช้ชีวิต รวมถึงรสนิยมต่อบางเรื่อง ด้านหนึ่งเป็นตัวแทนของความเป็นอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการดำรงไว้ซึ่งแบบแผนประเพณีดั้งเดิมที่ควรอนุรักษ์เอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนภาพของความเป็นเสรีนิยมได้อย่างชัดเจน ที่มองว่าควรมีการปรับตัวเพื่อหลอมรวมเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ระหว่างการสนทนาที่จุดเริ่มต้นด้วยความเห็นที่แตกต่าง ผ่านการตั้งคำถามที่ทรงพลัง การฟังอย่างลึกซึ้ง (Listening) การให้ความเคารพต่อความคิดของกันและกัน (Respect) การไม่ด่วนตัดสิน (Suspending) และการเปล่งเสียงที่แท้จริง(Voicing) ของตัวเองออกมา นำไปสู่การหลอมรวมทางความคิด ที่ก่อเกิดทางออกอย่างสร้างสรรค์และเป็นที่ยอมรับของทั้งสองคน ทั้งหมดล้วนเป็นการสนทนา (Dialogue) ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งใครที่อยากจะศึกษาเรื่อง Dialogue อยากแนะนำให้ดูเรื่องนี้เลยในด้านการแสดง หนังเรื่องนี้เดินเรื่องหลักด้วยคนเพียงแค่สองคน และมีแต่ฉากคุยกันในสถานที่ต่างๆ ซึ่งถ้าได้นักแสดงที่ไม่เก่งพอ คงจะเอาหนังไม่อยู่ และทำให้พังได้โดยง่าย แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ บทหลักของหนังจะอยู่ที่ พระคาร์ดินัล ฮอร์เก แบร์โกลิโอ ที่หนังบอกเล่าเรื่อง ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาเป็นบาทหลวง เส้นทางที่ท่านเจอ จนมาถึงวันที่ท่านขึ้นเป็นพระสันตะปาปา การได้นักแสดงชั้นดีมากอย่าง โจนาทาน ไพรซ์ (Jonathan Pryce) ที่นอกจากจะมีเค้าโครงหน้าที่คล้ายกับพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันแล้ว ยังให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วยส่วนอีกคนหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นั่นคือคนที่มาแสดงเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 การที่ได้นักแสดงชั้นครูอย่าง แอนโธนี ฮอปกิ้นส์ (Anthony Hopkins) มารับบทนี้ ทั้งการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง รวมถึงการแสดงน้อยๆ แต่ได้มาก ถือเป็นความสมบูรณ์แบบที่สุดของการแสดงแล้ว จังหวะการรับส่งบทสนทนาของนักแสดงทั้งสองคนอยู่ในระดับสุดยอด จนคิดไปถึงรางวัลทางการแสดงที่ทั้งคู่น่าจะมีโอกาสได้ลุ้นอย่างมากเลยในปีนี้ นอกจากบทสนทนาที่สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราว ความคิดและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว หนังยังบอกเล่าเรื่องราวหลายๆ เรื่องที่ไม่ค่อยมีใครได้รับรู้มาก่อน เช่น กระบวนการคัดเลือกพระสันตะปาปา หนังพาเราไปเห็นถึงขั้นตอนต่างๆ รวมถึงสถานที่ที่ใช้ จนเหมือนพาเราเข้าไปนั่งในห้องคัดเลือกด้วย รวมถึงพาไปเห็นสถานที่สำคัญต่างๆ ในวาติกันด้วย อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ สร้างขึ้นจากแรงบันดาลจากเหตุการณ์จริง และเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญระดับโลก ย่อมมีคำถามโต้แย้งถึงความเป็นจริงของเรื่องราวว่ามีมากน้อยเพียงใด หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้สร้างเป็นส่วนใหญ่ แน่นอน บทสนทนาต่างๆ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้คุยอะไรกันบ้าง นอกจากทั้งสองพระองค์เอง หรือจะเป็นเหตุการณ์ในอดีตของ พระคาร์ดินัล ฮอร์เก แบร์โกลิโอ สมัยที่เป็นวัยหนุ่ม และประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเป็นบาป จนไม่กล้าที่จะรับตำแหน่ง ก่อนจะได้รับการไถ่บาปนี้จากพระสันตะปาปา หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16สุดท้ายหลังจากดูจบ ถามว่าชอบฉากไหนที่สุด นั่งนับดู เยอะแยะไปหมดเลย ไม่ว่าจะตอนที่ทานพิซซ่าที่น่ารักดี ตอนไถ่บาปพระสันตะปาปาที่เป็นภาพที่งดงามมาก หรือจะตอนที่สนทนากันในวิหาร ท่ามกลางความเงียบ แต่ให้ความรู้สึกถึงพลังของความรัก ความเมตตา ที่ให้แก่กันและกัน แต่ถ้าให้เลือกเพียงฉากเดียว ผมชอบฉากจบของเรื่องตอน End Credit ซึ่งขอไม่บอกแล้วกันว่าเป็นฉากอะไร ต้องไปดูเอง รู้แต่ว่า ดูฉากนี้ไปพร้อมกับ “รอยยิ้ม และ น้ำตา”เครดิตภาพ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3