ในช่วงนี้มีหลาย ๆ คน หยุดเชื้ออยู่บ้าน หากแต่หยุดอยู่บ้านเพียงอย่างเดียวไม่ทำอะไรก็จะเบื่อซะก่อน ดังนั้นหลายคนจึงเลือกแก้เบื่อ แก้เหงา ด้วยวิธีดูหนังผ่านเว็บออนไลน์ ซึ่งในเดือนพฤษภาคมนี้ มีหนังกระแสมาแรงจากค่าย “Netflix” ที่ชื่อว่า “The Platform” เป็นหนังจากประเทศสเปน โดยมีผู้กำกับชื่อว่า “Galder Gaztelu-Urrutia” ซึ่งภาพรวมจะเป็นหลุมคุก (ในหนังเรียกว่าศูนย์ดูแลตนเองแนวตั้ง) ที่มีจำนวนชั้นหลายร้อยชั้น ในแต่ละชั้นจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ที่มีเพดานและพื้นเจาะเป็นรูไว้ตรงกลางขนาดใหญ่ เพื่อเป็นช่องให้แทนวางอาหารทรงลูกบาศก์ลำเลียงอาหารลงมาจากชั้นบนลงไปชั้นล่าง แต่ละชั้นจะมีนักโทษ 2 คน (Roommate) นักโทษแต่ละคนก่อนเข้ามาในคุกจะมีเจ้าหน้าสัมภาษณ์ก่อน เพื่อให้เลือกสิ่งที่อยากนำเข้าไปด้วย 1 อย่าง บางคนเลือกเป็นอาวุธ บางคนเลือกสิ่งที่ชอบ บางคนเอาอุปกรณ์เพื่อใช้แหกคุกเข้าไป นับว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างตามเหตุผลของแต่ละคนจริง ๆ ซึ่งในทุก ๆ วัน เมื่อถึงเวลากินอาหารของแต่ละชั้น จะมีแท่นวางอาหารทรงลูกบาศก์ที่ถูกจัดไว้อย่างดีและมีอาหารครบทุกสไตส์ ลอยลงมาจากชั้นบนลงไปชั้นล่างของคุก ซึ่งแต่ละชั้นจะมีระยะเวลาหยุดของแท่นวางอาหารทรงลูกบาศก์เพื่อให้นักโทษได้กิน โดยกฎของคุกหลุมที่นี่ คือ นักโทษจะถูกเปลี่ยนชั้นที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ 1 เดือน บางครั้งได้ไปอยู่ชั้นบน บางครั้งดวงไม่ดีก็ได้ไปอยู่ชั้นล่าง และกฎอีก 1 อย่าง คือ ห้ามเก็บอาหารไว้กับตนเอง มิฉะนั้นชั้นที่อยู่จะมีอากาศร้อนแทบไหม้หรือเย็นจนแทบแข็งตาย เมื่อเราสังเกตนักโทษทุกคนจะพบว่า ความสัมพันธ์ มิตรภาพซึ่งกันและกัน หรือความไว้อกไว้ใจกันแทบไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับการเอาตัวรอดให้ครบระยะเวลากำหนด และรับใบรับรองเพื่อออกไปสู่อิสรภาพที่ใฝ่ฝันทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุให้พบความเหลื่อมล้ำของคนในคุกระหว่างคนที่อยู่ชั้นบนที่ได้กินดี ไม่มีใครถุยน้ำลายใส่อาหารตนเอง ได้กินครบทุกหมู่ อาหารแพง ๆ ก็มีสิทธิ์ได้เลือกก่อน แตกต่างกับคนที่อยู่ชั้นล่าง ๆ ที่ได้กินอาหารของเหลือ สกปรกจากน้ำลายคนที่กินมาก่อนหน้า บางครั้งไม่เหลืออาหารมาถึงเลย มีจานและชามว่างเปล่า ยิ่งอยู่ชั้น 100 เป็นต้นไปแทบจะฆ่ากันเองเพื่อกินเนื้อเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งคุกหลุมนี้มีทั้งหมด 333 ชั้น เมื่อไปถึงข้างล่างสุดจึงไม่มีอาหารแม้แต่อย่างเดียว จากระบบการออกแบบของหนัง “The Platform” จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของคน 2 กลุ่ม คือ 1) คนอยู่ชั้นบน ชั้น 1 - 50 2) คนชั้นล่าง ชั้น 50 เป็นต้นไป ถ้าเปรียบเทียบกับสังคมในปัจจุบันนั่นก็คือ ระหว่างคนรวยและคนจนจะมีช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่เยอะเพิ่มขึ้นจากอดีต จึงขอสรุปออกมาเป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำ 2 ข้อหลักตามข้อมูลทางวิชาการ ดังนี้1. มิติรายได้ คือ ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับที่สูง โดยในปี ค.ศ. 2015 อยู่ที่ประมาณ 38% ซึ่งกลุ่มรายได้สูงสุดมีรายได้รวมกันเกิน 50% ของประชากรไทยทั้งหมด นั่นหมายถึงเงิน 50% ของไทย จะตกอยู่กับคนรวย ซึ่งคนรวยก็มีจำนวนอยู่นิดเดียวไม่เกิน 10% ของประชากรไทย ด้านมิติจำนวนคนจนพบว่ามี 50% คนจนทั้งประเทศอยู่ที่ภาคเกษตร รายได้ยังไม่ค่อยเติบโต เพราะตลาดโลกมีราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง เปรียบกับหนัง คือ ชั้นบนจะได้รับอาหารอย่างเต็มที่และจะหมดอย่างรวดเร็ว จนทำให้คนข้างล่างส่วนใหญ่เกิน 50% ที่ไม่ได้กินอาหาร2. มิติเชิงพื้นที่ คือ ไทยมีการเติบโตและความเจริญในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้จำนวนรายได้และการจ้างงานต่างกับพื้นที่ชนบท ดังนั้นรายได้ต่อหัวของคนกรุงเทพฯ จะมากกว่าชนบท อีกทั้งการกระจายงบประมาณของภาครัฐส่วนใหญ่จะลงสู่พื้นที่กรุงเทพฯ มากกว่าการกระจายไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปรียบกับหนัง คือ พื้นที่ชั้นด้านบนจะมีทรัพยากรอาหารเหลือเฟือ ส่วนชั้นล่างจะมีทรัพยากรจำกัด ทำให้เกิดการฆ่าฟันกันเอง เหมือนดั่งกับองค์กรภาคท้องถิ่นที่ทุจริตทางการเมืองเพื่อให้ได้เงินเข้าสู่ตนเอง.ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ หวังว่าจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ กลับไปใช้นะครับ สุดท้ายแล้วสามารถติดตามพวกเราสายเที่ยวสายแดกได้ที่•𝙁𝙖𝙘𝙚𝙗𝙤𝙤𝙠 : https://bit.ly/2xbgIao•𝙔𝙤𝙪𝙩𝙪𝙗𝙚 : https://bit.ly/2W0OkAb•𝙄𝙣𝙨𝙩𝙖𝙜𝙧𝙖𝙢 : https://bit.ly/2KwSOce.ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook Netflix / Youtube Netflixแหล่งที่มาเชิงวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย1 / ธนาคารแห่งประเทศไทย2