เดินทางมาถึงภาคที่สองกันแล้วนะครับสำหรับฮีโร่ไตรภาคของฝั่ง DC ที่ภาคแรกถือว่าทำออกมาได้อย่างดีมาก และก็ไม่รู้ว่าภาคสองจะสนุกสู้ได้ไหม เพราะถือว่าเป็นอาถรรพ์ของหนังภาคสองที่มักจะสนุกไม่เท่าภาคแรกแบทแมน(Christian Bale)ในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้พวกเขาต้องเดิมพันกับสิ่งสำคัญในชีวิตมากขึ้นกับการต่อสู้กับเหล่าวายร้าย แต่ยังโชคดีเพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจาก เจมส์ (Gary Oldman) และอัยการเขตฮาวี่(Aaron Eckhart) เขาเริ่มทำลายล้างพวกกลุ่มอาชญากรที่ยังคงลุกลามไปทั่วท้องถนน หลังจากนั้นไม่นานเขากลับพบว่าพวกเขาเองกำลังตกอยู่ในเรื่องความวุ่นวายซึ่งมีเบื้องหลังคืออาจชญากรตัวร้าย ซึ่งชาวก็อตแธมรู้จักกันดีในนามโจ๊กเกอร์(Heath Ledger) เขาคือผู้ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายและความสับสนภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าได้ขึ้นหิ้งว่ามีความคลาสสิคและมีเรื่องราวที่ดีจนเข้าไปครองใจใครหลาย ๆ คน เหตุเพราะหนังมีความลงตัวของบทบาทรวมถึงการถ่ายทอดเนื้อหาออกมา ทำให้ความสวยงามของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำครับ รวมถึงการเอ่ยถึงบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วคืออดีตนักแสดงบทโจ๊กเกอร์เกอร์ Heath Ledger ก็ทำให้ทุกคนประทับใจได้ไม่น้อยเลยในเรื่องของบทแอ็คชั่นหนังอัดความโหดและความตื่นเต้นใส่ลงไปในเรื่องตั้งแต่ช่วงเปิดเรื่องกันเลยทีเดียว ในภาคนี้หนังเอาโจ๊กเกอร์มาเป็นตัวร้ายแบบเต็มตัว รวมถึงการสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของโจ๊กเกอร์จากสิ่งที่เขาเผชิญในสังคมเมืองที่โหดร้ายแห่งนี้ ส่วนความดาร์คของหนังคือทำออกมาได้ดาร์คสมชื่อจริง ๆ โดยที่ไม่เสียชื่อของค่าย DC เพราะว่าค่ายนี้เป็นมือวางอันดับหนึ่งของการทำหนังฮีโร่สายดาร์คอยู่แล้วมาถึงการเล่าเรื่องและการลำดับเรื่องของภาพยนตร์ชุดนี้ หนังวางตัวละครและการเล่าเรื่องได้ฟังดูเข้าใจง่ายและมีเหตุมีผลไม่ได้โอเวอร์ หรือไม่ได้มีเหตการณ์เกิดขึ้นมาโดยที่ไม่มีปีไม่มีขลุ่ย และนั่นก็เป็นอานิสงส์จากการแสดงที่ยอดเยี่ยมจากนักแสดงในเรื่องหลาย ๆ คน ทำให้เห็นว่านักแสดงทุกคนทุ่มเทกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากไม่ว่าจะบทไหนบทใดก็ตาม อีกสิ่งที่น่าสนใจคือดนตรีประกอบมีการใส่เข้ามาในจังหวะที่เหมาะสมไม่ว่าจะสามเศร้าหรือฉากตื่นเต้น ก็ทำได้อย่างลงตัวไปหมดแต่ก็ใช่ว่าข้อเสียเลยนะครับ จะมีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่ายังไม่สุดคืออาวุธของแบทแมน แม้ว่าอาวุธจะดูไฮเทคก็จริง แต่กลับนำมาใช้ในการต่อสู้กับคนร้ายได้ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ เหมือนมีอุปกรณ์ที่มีพลังมากมายแต่นำมาใช้เพียง 10 ถึง 20% เท่านั้น เลยคิดว่าน่าจะสร้างให้ผู้ร้ายมีความโหดเหี้ยมและคู่ควรแก่การปะทะกับอาวุธของแบทแมนมากกว่านี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เปรียบเหมือนเหล้าเก่าที่อยู่ในขวดใหม่ package ข้างนอกอาจจะดูน่าสนใจ แต่ก็ต้องมาว่ากันที่รสชาติของเนื้อหาในหนังข้างในประกอบด้วย หลายคนอาจจะไม่ชอบความดาร์คแบบจริงจัง แต่ชื่อหนังก็บอกอยู่แล้วว่าเดอะดาร์คไนท์ เพราะฉะนั้นหนังก็ต้องเน้นไปที่ความอึมครึมและเน้นใส่ความดาร์ค และความดาร์คเหล่านั้นกลับซุกซ่อนไปด้วยความโศกเศร้าและความกดดันทางอารมณ์ ในขณะที่ดูทำให้ผมรุ้สึกว่ามันดูตึงเครียดและซีเรียสมากจนเกินไปคะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 หลังเปิดตัวในภาคแรกคือ Batman Begin ซึ่งได้คะแนนและคำวิจารณ์ไปอย่างท่วมท้นและล้นหลาม ภาคนี้ก็ถือว่าเป็นภาคต่อที่ทำให้เจอวายร้ายตัวใหม่ ที่ถือว่าเป็นคู่ปรับตัวจริงของแบทแมนก็คือโจ๊กเกอร์เราจะได้เห็นโจ๊กเกอร์ในมุมของตัวร้ายที่แท้จริง แต่เรายังไม่รู้ว่าเขามีความกดดันทางอารมณ์และร้ายด้วยสาเหตุอะไร รู้แต่ว่าความร้ายกาจของเค้ามีเหตุและผลแน่นอนข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. ได้เห็นความคงเส้นคงวาของมาตรฐานของแบทแมนที่ไม่เคยมือตก แบทแมนคือฮีโร่ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอารมณ์หม่นหมองแล้วดาร์คในทุกภาค ชี้ให้เห็นว่าการปราบเหล่าอาชญากรของแบทแมนที่แสนจะเหนื่อยยาก ไม่เคยหมดไป เมื่อจบเรื่องนี้ก็มีเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาไปซะทุกครั้ง2. ประสบการณ์ชีวิตของบรูซ เวยน์ สาเหตุที่เขาเองดูเหมือนจะมีชีวิตที่หม่นหมองมาจากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เมื่อเติบโตขึ้นเขาก็มีความมุ่งมั่นที่จะปราบเหล่าอาชญากรให้หมดไป แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ เขายังมีแววตาแห่งความโศกเศร้าจากอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ภาคที่สองของภาพยนตร์ Batman ฮีโร่ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ในภาคนี้ก็กลับมาได้อย่างคงเส้นคงวา มีการรักษามาตรฐานในข้อเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้อย่างคงเส้นคงวา และแน่นอนว่าถ้าใครเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะพลาดด้วยประการทั้งปวงครับเครดิตภาพปก WarnerBrosเครดิตภาพที่1 WarnerBrosเครดิตภาพที่2 WarnerBrosเครดิตภาพที่3 WarnerBros