เคยอ่านผ่าน ๆ เจอคำคมบทหนึ่งเขียนไว้ว่า It's impossible that you can having reason and being in love in the same timeมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะมีเหตุผล และมีความรักในเวลาเดียวกัน - (Rodrigo Rey Rosa) ฟัง ๆ ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพราะในเรื่องของความรักนั้น เรามักจะใช้หัวใจตัดสินมากกว่าใช้สมอง จนกระทั่งได้ไปเจอคลิปที่น่าสนใจจาก TED Talk โดย ดร. Helen Fisher ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเกี่ยวกับสมอง และกำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของสมองในขณะที่ผู้คนมีความรัก โดยแบ่งกลุ่มวิจัย เป็นสองแบบคือ กลุ่มคนที่กำลังอินเลิฟ และกลุ่มคนที่เพิ่งอกหักช้ำรัก ผลลัพธ์ที่ออกมาได้ช่างน่าทึ่ง เมื่อเห็นได้ว่า สมองส่วนที่สั่งการเรื่องความรัก และการอกหักนั้น สั่งการมาจากจุดเดียวกัน เพียงแค่สั่งการให้หลั่งสารต่างกัน โดยกลุ่มที่อินเลิฟ ก็จะมีการหลั่งสารความสุข ความใคร่ ความปรารถนาดี ต่าง ๆ และกลุ่มที่ช้ำรัก ก็จะเป็นสารเรื่องความซึมเศร้า ความอ้างว้าง และความกระหายเอาชนะ ปน ๆ กันไป ซึ่งแปลได้ว่า อันที่จริงแล้ว สมองของเราทำงานอย่างมีเหตุมีผลในเรื่องความรักอย่างที่สุด โดยที่เราเข้าใจไปเองว่า ส่วนที่ใช้ตัดสินใจคือ หัวใจ และความรู้สึก...ซะงั้น! เมื่อได้รับรู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ กลับทำให้เรารู้สึกว่า การจัดการเรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากความรักเป็นเรื่องง่ายไปเลย เพราะถ้าเราเข้าใจระบบการหลั่งสารจากสมอง เราก็จะสามารถควบคุมไม่ให้สมองเราหลั่งสาร จนอารมณ์เราเตลิดเปิดเปิงไปได้...เจ๋งเนอะ ข้อเท็จจริงอีกเรื่องหนึ่งจากการวิจัยผู้ช้ำรักคือ เราค้นพบว่า เมื่อเราไม่สมหวังในความรัก...กลับทำให้เรายิ่งรักมากขึ้นไปอีก เพราะสมองส่วนการเอาชนะ ส่วนการต่อสู้นั้น ยิ่งทำให้เราดิ้นรนเพื่อจะให้ได้มามากยิ่งขึ้นไปอีก ดร.เฮเลนบอกว่า มันน่าแปลกที่กลุ่มคนที่อกหักนั้น มักจะรู้สึกอยากลืม อยากลบคน ๆ นั้นออกไปจากจิตใจ แต่ยิ่งพยายามลืมเท่าไร กลับยิ่งเห็นภาพเขาชัดขึ้นไปอีก เหมือนว่าเขากำลังตั้งแคมป์อยู่ในหัวของคุณนั่นแหละ เมื่อเรารู้และเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็น่าจะจัดการกับปัญหานี้ได้โดย อย่าปล่อยให้จิตใจโหยหา วิ่งเต้น เอาชนะคะคาน หรือสู้เพื่อให้ได้มามากจนเกินไป...ที่ทางพุทธเรียกง่าย ๆ ว่า "การปล่อยวาง" นั่นเอง เช่นเดียวกับที่ดร. เฮเลนกล่าวไว้ในตอนท้ายสำหรับผู้ที่ไม่สมหวังในความรักทุกคนว่าDon't let somebody's camping in your head too long.(อย่าให้ใครมาตั้งแคมป์อยู่ในหัวของคุณนานเกินไป)ขอบคุณภาพประกอบจาก Ted.com และ Pixabay: รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3