วันนี้มากันต่อยังเมืองบุดว่า ( Budva ) ประเทศมอนเตเนโกร ห่างจากเมือง Kotor ประมาณ 45 นาที เราตกรถรอบบ่ายสี่โมง เลยจ้างแท็กซี่ที่มีคนท้องถิ่นอีก 3 คนไปด้วย จ่ายไป 4 ยูโร 120 บาท ก็ประมาณแหละค่ะ คิดเสียว่าซื้อความสะดวกสบาย ตลอดทางจะขึ้นบนเขา วิวสวย ๆ สุดลูกหูลูกตา ตอนแรกคิดว่าจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ที่ไหนได้ ค่อนข้างใหญ่เลยค่ะ ประมาณพัทยาของมอนเตเนโกรเลยล่ะ แท็กซี่จอดให้ตรงทางเข้าเมืองเก่า เราพักคืนนี้ที่ Montenegro Hostel B&B Budva คืนละ 12 euro จะมีรีสอร์ต โรงแรม โฮสเทลรวมตัวกันอยู่ในแถบนี้ค่ะ กลางคืนจะครึกครื่นหน่อย เพราะมีร้านเหล้า บาร์ คลับมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่อยู่ในเมืองเก่าหลังกำแพงค่ะ โดยเมืองบุดว่านั้น เก่าแก่ย้อนไปถึงสองพันปี ขึ้นชื่อเรื่องเมืองเก่าแบบยุคกลาง เก่าแก่เสียจนเป็น 1 ในหลายเมืองเก่าแก่ของยุโรปเลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะผ่านหลายยุคหลายสมัย แต่ก็ยังรักษาความสวยงามไว้ได้ เขตนอกเมืองเก่าก็จะเป็นชาวท้องถิ่นที่อยู่ ก็จะมีความทันสมัยขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวเยอะขึ้นในทุก ๆ ปีค่ะ หลังจากเช็คอินแล้วก็ออกมาเดินเล่นตามซอกซอยต่าง ๆ ที่ยุโรปนั้นจะค่ำประมาณสามทุ่มในช่วงซัมเมอร์ค่ะ ทำให้เรามีเวลาท่องเที่ยวนานกว่าปกติ ส่วนตัวคิดว่าเมืองบุดว่านั้นเป็นเมืองพักตากอากาศของชาวยุโรปที่หนีมาเที่ยวซัมเมอร์ยังประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่าแต่ทะเลสวยงาม หาดทรายอาจจะไม่ละเอียดมากนัก แต่ก็สวยไม่แพ้ที่ไหนเลยค่ะ ฝรั่งใส่บิกินี่น้อยใหญ่นั่งอาบแดดกันเรียงราย ตกดึกจะกลายเป็นคลับบาร์เสียส่วนใหญ่ จุดหมายวันนี้ของเราเป็นรูปปั้นของนักบัลเล่ต์ที่เป็นแลนมาร์กของเมืองบุดว่า เดินเรียบ ๆ หาดมาเรื่อยเปื่อย ก็จะเห็นจุดถ่ายรูปกับรูปปั้น Ballet Dancer Statue หรือ Statua Ballerina รูปปั้นนักบัลเล่ต์ ฉากหลังเป็นภูเขาสวยงามและป้อมกำแพง แน่นอนว่านี้เป็นฉากที่อยู่ในปกแนะนำการท่องเที่ยวของเมืองบุดว่า Landmark ของเมืองค่ะ จินตนาการภูเขาสูงด้านหลังในช่วงหน้าหนาวถ้าหิมะตกก็คงสวยแน่ ๆ ใครมามอนเตเนโกรช่วงหน้าหนาวบอกหน่อยนะคะ ว่าสวยหรือเปล่า ใครที่ชื่นชอบบ้านเมืองแบบอิตาลีต้องชื่นชอบที่นี้แน่ ๆ เพราะคล้ายกันเลยค่ะ แถมร้านพิซซ่าเยอะทุกมุมถนนเลย จะเห็นว่าบ้านเรือนยังคงอยู่ในสถาพดี และที่สำคัญ สะอาดมากกกก แทบจะไม่มีขยะบนถนนเลยค่ะ ชื่นชมจริง ๆ เห็นเป็นคาเฟ่น่ารัก ๆ เลยแวะดื่มเบียร์สักแก้วให้ชื่นใจ นั่งตรงที่มีน้องแมวนอนขี้เซาอยู่ เพลินเลยค่ะ Pivo Niksicko คำว่า Pivo แปลว่าเบียร์ค่ะ แวะเข้าไปเยี่ยมโบสถ์เสียหน่อย Holy Trinity Church เป็นโบสถ์ออโธดอกซ์ค่ะ สร้างในปี 1804 สมัยที่บุดว่าอยู่ในการปกครองของเวนิซค่ะ จะเป็นหินสีขาว มีต้นปาล์มอยู่ข้างหน้าโบสถ์ สวยดีค่ะ เวลาแสงแดดกระทบกับหิน ดูขาวสะอาดตา ตลอดระยะทางที่เดินมานั้นแทบจะไม่เป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชียเลย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตกที่มาพักร้อน คนที่นี้ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษค่ะ แต่ให้ความช่วยเหลือดี ไม่มีใครปฎิบัติกับเราแปลก ๆ รู้สึกปลอดภัยแม้จะเป็นผู้หญิงเที่ยวคนเดียว หนึ่งวันในมอนเตเนโกรทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตที่นี้ค่อนข้างราบเรียบ ทุกอย่างดูเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ชิว ๆ ผู้คนน่ารัก ไม่วุ่นวาย แม้จะเป็นเมืองท่าริมทะเล แต่กลับรู้สึกชิวกว่าที่คิด เข้าใจเลยค่ะทำไมคนยุโรปส่วนใหญ่ถึงคิดว่าคนมอนเตเนโกรนั้นขี้เกียจ แต่จริง ๆ คงเป็นเพราะวัฒนธรรมของคนที่นี้ คนมอนเตเนโกรที่โฮสเทลเราบอกว่า คติความคิดขอคนส่วนใหญ่นั้นคือ Rest first , Work later พักก่อน ทำงานทีหลังนั้นเอง ฟังแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน เพราะบางทีก็มานั่งคิดว่า บางทีชีวิตเราเร่งรีบเกินไปหรือเปล่า รีบเรียน รีบทำงาน รีบสร้างสิ่งต่าง ๆ จนเห็นเป็นเรื่องปกติ หันกลับมามองคนบางประเทศที่ทำอะไรช้า ๆ เหมือนกันอยู่กับปัจจุบัน ค่อย ๆ ทำก็เสร็จ ไม่ต้องเร่งรีบ อาจจะถูกก็ได้ ยิ่งรีบเหมือนยิ่งแย่ แถมเราเหนื่อยทั้งกายและใจ Rest first , Work later น่าจะไอเดียที่ได้จากการมาเที่ยวประเทศมอนเตเนโกรในครั้งนี้ค่ะ พรุ่งนี้เราจะไปยังประเทศสุดท้ายของทริปบอลข่าน จะเป็นประเทศอะไรติดตามชมใน The Balkans EP.6 ค่ะ ( รูปภาพทุกภาพถ่ายโดยนักเขียน ) เพิ่มเติม : แชร์ประสบการณ์ นักเรียนทุนประเทศ “โรมาเนีย” มีดีมากกว่าปราสาทแดรกคูล่า ไปแลกเปลี่ยนกับทุน CEEPUS ที่บูดาเปสต์ ฮังการี 🇭🇺🇪🇺 One Semester in Budapest , HU