เมื่อไม่กี่วันมานี้ (31 พฤษภาคม 2563 ตามเวลาในประเทศไทย) หลังจากที่ อีลอน มัส เจ้าพ่อแห่งเทคโนโลยียานยนต์ หรือจะเรียกได้ว่าพ่อมดแห่งวงการเทคโนโลยี ที่รู้จักกันดีในนามของ Tony Stark ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการเทคโนโลยีการบินอวกาศของสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท Space X ได้ทำการปล่อยจรวด Falcon 9 นำยานอวกาศ Crew Dragon Demo-2 นี้ไปพร้อมกับนักบินอวกาศ ทั้ง 2 คนของสหรัฐ ซึ่งได้แก่ นาย Bob Behnken กับ Doug Hurley ขึ้นสู่สถานีอวกาศ ISS (International Space Station) ได้เป็นผลสำเร็จในรอบ 10 ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นจรวดพาณิชย์ที่ดำเนินการโดยเอกชนรายแรก และรายเดียวในตอนนี้ ที่ได้ทำการสร้างยานอวกาศและขนส่งนักบินอวกาศไปยังในระดับวงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit) ได้เป็นผลสำเร็จ หากจะถามว่า “แล้วเป็นเปิดหน้าศักราชใหม่แห่งวงการเทคโนโลยีการอวกาศของโลกอย่างไร?” จริงอยู่ว่าการส่งนักบินขึ้นไปบนอวกาศนั้นเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาทำอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว และก็การเดินทางด้วยจรวดไปยังอวกาศนี้ก็มีมาตั้งนานแล้ว โดยครั้งล่าสุดที่สหรัฐเดินทางไปด้วยยานอวกาศของตนเองนั้น เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2011 ด้วย Atlantis ยานอวกาศของ NASAโดยหลังจากนั้นสหรัฐหันไปใช้จรวด Soyuz กับยานอวกาศของรัฐเซียแทน เพื่อซื้อที่นั่งให้กับนักบินอวกาศของตนในการเดินทางไปยังสถานีอวกาศ โดยสหรัฐอเมริกาจะต้องจ่ายเงินมูลค่ามหาศาลเพิ่มมากขึ้นทุกปีเพื่อเป็นค่าโดยสารในการเดินทางให้กับนักบินอวกาศของพวกเขาในการเดินทางแต่ละครั้ง ด้วยเหตุนี้สหรัฐอเมริกาจึงได้ตัดสินใจ พัฒนาโครงการร่วมกับภาคเอกชนภายใต้โปรเจ็ค Commercial Crew Program เพื่อที่จะเปิดโอกาสช่องทางการเดินทางไปสู่อวกาศ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ได้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในด้านการบิน นั่นก็คือ Boeing กับบริษัทน้องใหม่ที่ดำเนินการโดยเจ้าพ่อแห่งเทคโนโลยีที่ชื่อว่าอีลอน มัส ในนามของ Space X ซึ่งความฝันที่จะพัฒนายานอวกาศให้กับมนุษยชาติเดินทางไปยังดาวอังคาร ที่ถึงแม้ว่าจะดูเป็นคำพูดที่ค่อนข้างห่างไกล แต่เจ้า Space X ก็แสดงให้เห็นศักยภาพ และความพร้อมที่มากกว่าเอาชนะบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการบิน Boeing ไปได้ ทำให้เราเห็นได้ว่าไม่จำเป็นที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะมีความพร้อม และชนะเสมอไป ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่สำคัญของ Boeing เช่นกัน ซึ่งผู้ชนะในโครงการนี้ นอกจากจะได้รับโอกาสในการพัฒนาโปรเจ็คนำนักบินอวกาศขึ้นสู่อวกาศแล้ว ยังได้รับการการันตีจาก NASA อีกด้วยว่าสามารถขนส่งมนุษย์ขึ้นยังอวกาศได้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการปลดล็อคให้กับธุรกิจประเภทนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับภาคเอกชน ซึ่งจะเกิดการแข่งขันอย่างมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ที่คล้ายกับสายการบิน สำหรับการเดินทางไปอวกาศในครั้งนี้ภายใต้การดำเนินการของอีลอน มัส นั้น เขาได้ออกแบบให้เจ้าจรวด Falcon 9 ที่นำยานอวกาศออกไปนอกโลกนั้น สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วยระบบที่เรียกว่า “Autonomous spaceport drone ship (ASDS)” ซึ่งเป็นเรืออัตโนมัติที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ในการควบคุม แต่จะมาจอดรับจรวด ณ จุดลงจอดที่ตั้งค่าเอาไว้อยู่ที่กลางทะเลมหาสมุทร ทำให้จรวดที่ใช้ส่งยานอวกาศไปนอกโลกนั้นไม่สูญเปล่าอย่างในอดีตอีกต่อไป อีกทั้งยังช่วยในเรื่องประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตจรวดได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลให้การเดินทางไปอวกาศในอนาคตนั้นไม่ได้ไกลเกินเอื้อมอย่างที่คิด และความฝันที่มนุษย์โลกจะเดินทางไปยังอวกาศได้เหมือนการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นก็คงไม่ไกลเกินฝันจนเกินไป ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากระยะเวลาในการเดินทางในครั้งนี้แล้วนั้น เจ้าจรวด Falcon 9 ได้ใช้เวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้นจาก Kennedy Space Center ที่ Cape Canaveral ในรัฐ Florida เข้าสู่วงจร และใช้เวลาอีกเกือบ 19 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังสถานีอวกาศ ISS ซึ่งถ้าจะให้จินตนาการก็จะคล้ายๆกับตอนที่เรานั่งเครื่องบินที่กำลัง Take off ก่อนขึ้นสู่บนฟ้า และช่วงเวลา 19 ชั่วโมงนั้นก็น่าจะคล้ายๆ ความรู้สึกเราเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารจากกรุงเทพฯ ไปยังสหรัฐอเมริกานั่นเอง นอกจากนี้ถ้าเราพิจารณาจากชุดอวกาศที่นักบินอวกาศ 2 คนนี้ใส่ขึ้นไปทำภารกิจที่ชื่อว่า Demo-2 ในครั้งนี้นั้นจะเห็นได้ว่ามีความล้ำสมัย ออกแบบมาได้กระชับ และดูโมเดิร์นมากขึ้น ไม่เทอะทะเหมือนแต่ก่อน แต่ยังคงประสิทธิภาพในการเป็นชุดอวกาศอยู่ ซึ่งมาพร้อมกับถุงมือที่สามารถรองรับระบบ Touchscreen กับหน้าจอสัมผัสบนยานอวกาศที่ล้ำสมัยลำนี้ที่แตกต่างไปจากยานอวกาศรุ่นอื่นๆ ที่ยังเป็นระบบ Analogue แบบปุ่มกดอยู่ ในส่วนของการเทียบจอดกับเจ้าตัวสถานีอวกาศด้วยระบบเชื่อมต่อยานอวกาศก็เช่นกัน ด้วยความเป็นอีลอน มัส จึงได้มีการออกแบบให้ยานอวกาศลำนี้ สามารถเทียบจอดกับสถานีอวกาศได้ด้วยระบบอัตโนมัติ ที่เหมือนกับในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องที่เราเคยดูอาทิเช่น Star War และ Startrek เป็นต้น โดยการที่เจ้าตัวยานอวกาศนี้จะทำหน้าที่เข้าไปล็อคกับอะแดปเตอร์ หรือตัวล็อคของสถานีอวกาศ ISS เพื่อทำการเทียบจอดได้ด้วยตัวมันเอง ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับระบบรถยนต์ใน Tesla แบบไร้คนขับตามแบบฉบับที่อีลอน มัส ถนัดนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีระบบ Manual เพื่อเอาไว้รองรับกรณีฉุกเฉินนะครับ ซึ่งตรงจุดนี้ทางอีลอน มัส ได้ออกแบบและได้ให้นักบินอวกาศทำการทดลองใช้งานจริง ก่อนที่จะทำการเทียบจอดด้วยระบบอัตโนมัติแล้ว เรียกได้ว่าท่ามกลางกระแส COVID-19 และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐนั้น ไม่สามารถทำอะไรกับชายผู้แข็งแกร่งคนนี้ได้เลย ใครจะรู้ละครับว่าท่ามกลางกระแส COVID-19 ที่กระทบไปยังสายการบินทั่วโลกในขณะนี้ การเดินทางไปยังอวกาศ อาจจะเป็นอีกหนึ่ง “New Normal” ที่จะเข้าทำให้วงการบินทั่วโลก และเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ไกลเกินเอื้อม และอีกไม่นานเกินรอแน่นอนครับ แล้วพบกันใหม่กับบทความถัดไปครับ ขอขอบคุณภาพปก : spacex / จาก PIC1 : Twitter SpaceX / Pic 2 : spacex/ Pic3 : Twitter SpaceX / Pic4 : Elon Musk / Pic5 - 7 : spacex / Pic8 - 10: Intl. Space Station