เพื่อน ๆ คงทราบกันเป็นอย่างดีว่าในหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยของเรานั้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เริ่มมีการเกิดวิกฤตการณ์การระบาดของโรคไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือที่เรียกว่า Covid-19 ทำให้กระทบถึงหลาย ๆ อย่างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การค้าขาย รวมถึงการท่องเที่ยว การเดินทางไม่ว่าจะเป็นรถโดยสาร รถไฟ เครื่องบินต้องหยุดให้บริการชั่วคราวแต่ ณ ตอนนี้สถานการณ์ก็เริ่มผ่อนปรนขึ้นสามารถเดินทางได้เหมือนเดิม แต่ยังคงรักษากฎของ Social Distance ทั้งนี้ทำให้ค่าโดยสารรถทัวร์ได้มีการปรับราคาขึ้นเนื่องมากจากการรักษาระยะห่าง (ที่นั่งน้อยลง) ต้องนั่งแบบที่เว้นที่ วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ มาเจาะลึกกันว่าตั๋วเครื่องบินจะมีเเนวโน้มในทิศทางเดียวกันไหม ? และสายการบินแบบ Low Cost จะปรับตัวอย่างไร หลังจากประเทศไทยในปัจจุบันมีแนวโน้นลดลง และเริ่มสามารถควบคุมได้ ทางภาครัฐก็เริ่มมีการผ่อนปรนให้หลาย ๆ สถานที่สามารถกลับมาเริ่มเปิดให้บริการได้เหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในหลาย ๆ จังหวัดกลับมาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในระยะสั้นหรือระยะยาว และเริ่มมีผลในปลายเดือนพฤษภาคมและในบางที่ในต้นเดือนมิถุนายน ก็เริ่มมีการผ่อนปรนมาตราการในการเดินทางข้ามจังหวัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางบ.ข.ส. บริการขนส่งสาธารณะยังกำหนดมาตรการเพื่อการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเข้มงวดเพื่อเป็นการป้องกันการระบาดของไวรัส ทางด้านบ.ข.ส.มีมาตราการป้องกันเบื้องต้นในการคัดกรอง ที่บ.ข.ส.จะมีจุดตรวจอุณหภูมิร่างกายก่อนผ่านหน้าประตูและก่อนขึ้นรถในการเดินทางโดยเครื่องวัดอุณหภูมิ (จะต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส)ที่มีมาตราฐานสามารถตรวจสอบได้อีกทั้งมีเจลแอลกอฮอล์วางไว้ตามจุดสำคัญต่าง ๆ และที่สำคัญทุกคนจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างนั่งหรือยืนอย่างน้อย 1 เมตรตลอดการเดินทาง ซึ่งทาง บ.ข.ส. จึงจำเป็นจะต้อง ‘จำกัด’ ที่นั่งในการเดินทางและจำนวนคนในโดยสารและในเรื่องของการเดินทาง ภายในรถจะจัดที่นั่งให้มีการนั่งแบบที่เว้นที่ โดยมีระยะห่างในการนั่งอย่างน้อย 1 เมตรโดยอิงตามนโยบาย Social Distancing ซึ่งจะส่งผลให้ที่นั่งน้อยลง ผู้โดยสารน้อยลง และสุดท้ายตามมาด้วย ‘อัตราค่าโดยสารที่แพงขึ้น’ นอกเหนือจากการที่รถทัวร์บางบริษัทมีการขึ้นอัตราค่าตั๋วเพิ่มมากยิ่งขึ้นแล้วนั้น อีกหนึ่งช่องทางในการเดินทางสำคัญๆเลยคือ ‘เครื่องบิน’ ซึ่งคาดว่าในอนาคตอัตราค่าตั๋วก็จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาบางสายการบินจะต้องหยุดบินชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์ปิดสายการบินทั้งภายในและต่างประเทศ จนบางสายการบินได้มีเหตุการณ์ถึงขั้นล้มละลายเกิดขึ้นและแน่นอนว่าในภายภาคหน้าในเรื่องของราคาตั๋ว การเดินทางต่าง ๆ จะแตกต่างจากปกติอย่างแน่นอนซึ่งภายในวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา มีสายการบินกลับมาเปิดให้บริการจำนวน 4 สายการบิน คือ สายการบินนกแอร์ ไทยแอร์เอเชีย ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียตเจ็ท ในการดินทางด้วยเครื่องบินก็จะต้องกำหนดมาตรการเพื่อการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเข้มงวดเช่นเดียวกับรถทัวร์ ซึ่งนั้นก็คือมีมาตรการรักษาสุขอนามัยต่าง ๆ อย่าเคร่งครัด อาทิ มีจุดตรวจวัดอุณหภูมิห้ามเกิน 37.5 องศาด้วยเครื่องตรววัดที่มีมาตรฐาน มีจุดบริการเจลแอลกอฮออล์ในการล้างมือ มีการรณรงค์ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในการใช้บริการบริเวณภายในสนามบินและตลอดการเดินทาง แนะนำให้ผู้โดยสารทุกท่านมีการ Check-in มาก่อนหน้าเวลาเพื่อลดการสัมผัส จะขึ้นเครื่อง และทุกสายการบินงดเสิร์ฟน้ำและอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารมีการถอดหน้ากากอนามัยออกระหว่างการเดินทาง ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่ง New Normal ใหม่ที่มีความเหมือนเดิมที่ไม่เหมือนเดิมในธุรกิจสายการบินทั้งในตัวสายการบินและผู้ใช้บริการอย่างเรา และในอัตราค่าตั๋วจะสูงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เพราะด้วยการไม่จำหน่ายตั๋วที่นั่งตรงกลางซึ่งใน 3 ล้อคที่นั่งจะมีผู้โดยสารเพียง 2 ท่านเท่านั้น (ที่เว้นที่) และอาจจะต้องปล่อยที่นั่ง 3 แถวสุดท้ายว่างไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินกลางการเดินทางด้วยและเพื่อเป็นการสร้างระยะห่างให้กับผู้โดยสารบางคนที่จำเป็นต้องดื่มน้ำหรือทานยา ดังนั้นเมื่อขายตั๋วได้น้อยลงราคาต่อที่นั่งย่อมต้องสูงขึ้นโดยอาจจะเพิ่มมากถึง 43-54% ซึ่งจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับรถทัวร์ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่ามาตรการ social distance ดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบกับรายได้ของสายการบินต่าง ๆ โดยตรง สายการบินต้นทุนต่ำหรือ Low-Cost Airlines แตกต่างกับสายการบินปกติธรรมดาคือเป็นเสมือนการลดค่าใช้จ่ายของการบินในแต่ละครั้ง อาจจะไม่มีบริการด้านอาหารหรือเครื่องดื่มให้ฟรี (หากมีความต้องการจะต้องซื้อแยก) ไม่มีความบันเทิงคือหากเป็นสายการบินแบบ business จะมีจอโทรทัศน์อยู่ตรงหน้าที่นั่ง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้กล่าวถึงกรณีที่สายการบิน Low cost จะต้องปรับและจำกัดที่นั่งโดยจะทำให้ผู้โดยสารลดน้อยลงต่อ 1 ไฟล์ทเที่ยวบินอาจทำให้สายการบินมีการปรับขึ้นราคาบัตรโดยสาร ซึ่งสามารถทำได้แต่ไม่เกิน 9.40 บาทต่อกิโลเมตร เป็นเพดานสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนจะขายต่ำกว่าราคานั้นสามารถทำได้เช่นกัน แต่สายการบิน Low Cost จะมีรายได้เพิ่มเติมหรือรายได้พิเศษจาก การที่ผู้โดยสารโหลดกระเป๋าลงใต้เครื่อง ซึ่งถือว่าเหตุการณ์แบบนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่สายการบินจะต้องรักษาสภาพคล้องทางการเงินอีกทั้งต้องเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารตลอดทุกไฟล์ทบินและในด้านของตัวผู้โดยสารที่อาจจะต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ จนกว่าวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดจะหายไป ก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับ "Social Distance" ทำค่าโดยสายรถทัวร์พุ่ง ทั้งนี้ด้านการเดินทางด้วยสายการบินและรถทัวร์ก็มีมาตราการรักษาความปลอดภัยจากโควิดและทิศทางที่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิกฤตและอีกหลาย ๆ New Normal ที่ทั้งเราและผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวกันไปอีกสักพักใหญ่ ๆเลยละค่ะ สำหรับวันนี้เราก็ขอตัวลากันไปก่อน ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ :) ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม : lexology เครดิตภาพหน้าปก : unsplash1 / unsplash2 เครดิตภาพประกอบบทความจาก unsplash อัตราค่าโดยสารรถทัวร์มีการปรับราคาขึ้นเนื่องมากจากการรักษาระยะห่าง ตั๋วเครื่่องบินจะมีเเนวโน้มในทิศทางเดียวกันไหม ? สายการบิน Low Cost จะปรับตัวอย่างไร ?