วันนี้จะพาเพื่อน ๆ บินไปสัมผัสอากาศเย็น ๆ ในช่วงเดือนกลางเดือนธันวาคมของเกาะโอกินาวา หลังจากที่ได้จับจองตั๋วเครื่องบินจากสายการบินญี่ปุ่น มาได้ในราคาประหยัด เราก็จัดการทำแผนเที่ยวต่อเลยค่ะ ส่วนตัวไม่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยสักครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรก มันก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาค่ะ ทริปครั้งนี้เราเดินทางไปกันสองคนกับแฟน โดยวางแผนว่าจะพักที่นั่นเป็นเวลา 4 คืน 5 วัน โดยการเดินทาง 3 วันแรก เราจะเช่ารถ โดยเริ่มจากทางเหนือสุดของเกาะค่ะ และขับรถไล่ลงมายังส่วนกลางเกาะ และตัวเมืองนาฮะค่ะ ไฟลท์บินที่เราได้เป็นรอบ 1.45 น. ตามเวลาเมืองไทย ไปถึงที่เกาะโอกินาวาในเวลา 8.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นค่ะ หลังจากเครื่องแลนด์เราก็ตรงไปติดต่อขอรับใบผ่านเข้าชมสถานที่ ที่เราซื้อไว้ผ่านทาง Klook จากนั้นจึงตรงไปติดต่อขอเช่า Wifi กับทางบูทในสนามบิน และขึ้นรถบัสของบริษัทรถเช่ามายังบริษัทที่อยู่ไม่ไกล เพื่อจะติดต่อรับรถที่เราทำการเช่าไว้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปสู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะกันเลยค่ะ 1st day สถานที่แรกของวันนี้เราแพลนกันไว้ว่าเราจะไปที่แหลมเฮโดะ(Cape Hedo) ส่วนเหนือที่สุดของเกาะโอกินาวา กว่าจะทำธุระในตัวเมืองนาฮะเรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปเกือบเที่ยง เมื่อทุกอย่างลงตัว เราก็ซิ่งรถใหม่เพื่อนคู่ใจตรงขึ้นเหนือเลยค่ะ ระยะทางจากตัวเมืองนาฮะ - แหลมเฮโดะ ประมาณ 115 กิโลเมตร ถนนที่นี้ค่อนข้างโล่ง แต่เชื่อไหมค่ะว่า กว่าจะถึงจุดหมายกินเวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมง ไม่ใช่เพราะระยะทางไกลแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะโทลเวย์ที่นี้จำกัดความเร็ว และค่อนข้างเข้มงวดมาก ๆ ค่ะ อีกทั้งถ้าเราขับเกินกำหนด สัญญาณเตือนในรถจะดังเตือนทันที ความเร็วที่ใช้ได้สูงสุดเพียงแค่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น เล่นเอาทั้งคนขับ และคนนั่งง่วงนอนไปตาม ๆ กันเลยค่ะ เราขับรถกันมาเรื่อย ๆ ระหว่างทางเราก็ร้องว้าวไปตาม ๆ กัน เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยวิวภูเขา วิวเมือง และน้ำทะเลที่สีฟ้าคราม กระทบกับแสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่าย ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา กว่าจะมาถึงที่แหลมเฮโดะก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้ว เราสองคนรีบหาที่จอดรถ คว้ากระเป๋ากล้อง และเริ่มทำการเดินสำรวจทันที แหลมเฮโดะ (Cape Hedo) อย่างที่บอกที่นี้คือส่วนเหนือสุดของเกาะโอกินาวา พื้นที่นี้ถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้ และภูเขา เพื่อน ๆ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้จากฝั่งหน้าผา วันที่เราไปผู้คนค่อนข้างน้อย ส่วนมากจะเป็นชาวญี่ปุ่น และต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย มีมุมให้เก็บภาพประทับใจอยู่หลาย ๆ มุมค่ะ ทั้งเวิ้งดอกหญ้าแห้ง ๆ ที่กำลังตอนรับการมาของหน้าหนาว ลานหินที่ตะปุ่มตะป่ำ แซมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ และถูกโอบล้อมด้วยภูเขาอีทีนึง แค่ยืนมองวิวจากหน้าผา ฟังเสียงคลื่นที่กระทบกับชายฝั่ง และสูดอากาศเข้าให้เต็มปอด บวกกับแสงแดดอ่อน ๆ ที่กระทบผิวหนังให้คลายหนาว นาทีนั้นตกหลุมรักที่นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากใช้เวลาอยู่ที่แหลมเฮโดะอยู่พักใหญ่ ๆ เราก็ตัดสินใจพากันกลับ โดยคืนแรกเราตัดสินใจพักที่ตัวเมืองนาโงะ (Nago) เพราะแพลนในวันต่อไป เราจะไป Okinawa Churaumi Aquarium ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนาโงะกันค่ะ 2nd day วันที่สองเรารีบพากันตื่นเช้าและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม มุ่งหน้าตรงไปยัง โอกินาวา ชูระอูมิ อควาเรียม ที่นี้เป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกที่นึงที่ใคร ๆ ก็ต้องมา ถ้าไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึงโอกินาวานะจ๊ะ เราใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมได้ไม่นานก็ถึงที่หมาย อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็นสบายไปจนหนาว ส่วนจัดแสดงน้องฉลามวาฬ และพองเพื่อน อยู่ภายในตัวอาคารสีขาวขนาดใหญ่ เราสองคนพากันตรงดิ่งไปหาน้องฉลามวาฬกันทันที มีนักท่องเที่ยวคับคั่ง ส่วนมากที่มาจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น และเกาหลีประปราย เมื่อย่างเท้าเข้าไปในตัวอาคาร พนักงานก็ดึงตัวไปถ่ายรูปกับบูท ที่พวกเขาเตรียมไว้ให้ทันที ฮ่า ๆ หลังจากนั้นเราพากันเดินเข้ามาภายใน พ้นประตูมาได้ไม่เท่าไหร่เราก็พากันหยุดดู ทางอควาเรียมจัดมุมไว้สำหรับเด็ก คือมุมที่ให้น้อง ๆ หนู ๆ ได้ลองสัมผัสกับเจ้าปลาดาว และสัตว์ทะเลอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เท่าที่เห็นคือผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ จะสนุกกับการได้ลองสัมผัสน้องปลาดาว น้องปลิงทะเล มากกว่าเด็กเล็ก ๆ อีกค่ะ ฮ่า ๆ เราพากันเดินมาเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็จะมีตู้โชว์น้องปลา และสัตว์ทะเลอื่น ๆ อยู่ทั้งสองข้างทาง มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่นกำกับอยู่ ระหว่างที่เพลิดเพลินกับสองข้างทางได้ไม่นาน เราสองคนก็ต้องตื่นตะลึงอีกครั้ง เพราะเราเดินมาจนถึงแท๊งค์ขนาดใหญ่ ที่เป็นที่โชว์ตัวของน้องฉลามวาฬนั้นเองค่ะ ภายในแท๊งค์น้ำใหญ่ยักษ์นอกจากน้องฉลามวาฬแล้ว ยังมีน้องปลาอยู่อีกหลากหลายชนิด พากันเวียนว่ายไปมา ละเล่นกันอยู่ภายใน เวลานั้นมือกดชัดเตอร์เก็บภาพน้อง ๆ ไว้เป็นที่ประทับใจรัว ๆ เลยค่ะ หลังจากตื่นตะลึงอยู่พักใหญ่ หางตาแอบสังเกตเห็นร้านอาหารติดกับแท๊งค์ยักษ์ เลยเดินไปสืบ ๆ ราคา และเป็นที่น่าพอใจ เราสองคนเลยทำการลงชื่อ ขอจองโต๊ะที่ติดกับแท๊งค์ยักษ์ เพื่อที่เราจะได้นั่งทานข้าว และดูน้องปลาไปด้วย ตอนแรกเราคิดว่าน่าจะต้องมีจ่ายค่าโต๊ะเพิ่ม เพราะมันเป็นที่นั่งพิเศษ แต่เปล่าเลยค่ะ แค่เราติดต่อพนักงานตรงเคาว์เตอร์เพื่อลงชื่อ และเมื่อถึงคิวเราสามารถเดินไปนั่งที่โต๊ะที่เราจองไว้ได้เลย โดยจำกัดเวลาให้นั่งรับประทานอาหารได้ประมาณ 45 นาทีค่ะ อาหารภายในร้านราคาไม่แพง แต่มีให้เลือกอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะออกไปทางฟาสฟู้ด และยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เรากำลังทานข้าว เป็นช่วงที่พนักงานให้อาหารน้องปลาในแท๊งค์พอดี เราทานไปดูไป มีความสุขสุด ๆ เลยหละค่ะ และอาหารมื้อนี้สำหรับสองคน เราจ่ายไปประมาณ 600 บาทไทย ถ้าเทียบกับการได้นั่งชมปลาในแท๊งค์ ถือว่าไม่แพงเลยค่ะ หลังจากเดินทั่วอความเรียมแล้ว เราพากันเดินออกมาด้านนอก ทางด้านหน้าอควาเรียมมีทางลงไปยังชายหาดค่ะ มีทั้งเด็ก และผู้ใหญ่พากันเดินลงไปนั่งเล่น นั่งคุย และชมวิวทิวทัศน์ เราสองคนมี หรือจะพลาด รีบพากันจ้ำเท้าลงไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นเมื่อใกล้เวลาโชว์เจ้าโลมา เราเลยพากันไปจับจองที่นั่งกันก่อนโชว์เริ่ม โชว์โลมาแสนรู้จะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ไม่มีภาษาอังกฤษนะคะ ก่อนจะหมดวันเราพากันขับรถมุ่งหน้าไปยัง American Village เป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ มีทั้งบาร์ ร้านอาหาร เกมส์เซ็นเตอร์ ร้านค้าละลานตา และเนื่องจากเกาะโอกินาวา เคยเป็นศูนย์บัญชาการทหารอเมริกันเก่า จึงทำให้ที่นี้เต็มไปด้วยชาวต่างชาติมากมาย โดยเฉพาะทหารอเมริกันค่ะ หลังจากหิวโหยมาเป็นเวลานาน เดินวนไปเวียนมาอยู่หลายรอบ คืนนี้เราจบกันด้วยการซดน้ำโซบะร้อน ๆ ทำสดใหม่ ๆจากร้านของคุณป้าชาวญี่ปุ่น และตบท้ายด้วยไอศกรีม Blue Salt ท่ามกลางอากาศหนาว ๆ เป็นอันจบค่ะ 3rd day วันที่สามบนเกาะโอกินาวา วันนี้เราต้องทำการคืนรถเช่าแล้วหละค่ะ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เราพากันขับรถไปชมซากปราสาทเก่า ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ถึงจุดหมายแล้วค่ะ ซากปราสาทเก่านี้มีชื่อว่า "Nakagusuku castle" ค่าเข้าชมอยู่ที่ 200เยน/คน ภายในจะมีรถไฟฟ้ารับส่งขึ้นไปยังตัวปราสาท และให้นักท่องเที่ยวเดินชมรอบ ๆ ตัวปราสาท ที่นี้ถูกบันทึกอยู่ใน UNESCO World Heritage Siteds ปี2000 เลยหละค่ะ เมื่อขึ้นมาด้านบนเพื่อน ๆ จะสามารถมองเห็นพื้นน้ำที่โอบล้อมตัวเมืองโอกินาวา ได้ 360 องศาเลย แต่วันที่ไปอากาศค่อนข้างร้อน พวกเราจึงใช้เวลาอยู่ที่นั้นได้ไม่นานเท่าไหร่ และเมื่อเราเก็บภาพประทับใจ เดินชมจนทั่ว เลยตัดสินใจพากันขับรถไปคืนรถเช่า และเข้าเช็คอินที่โรงแรม ใกล้ ๆ ถนน Kokusai Dori ถนนที่เป็นแหล่งศูนย์รวมการค้าขนาดใหญ่ มีร้านค้าอยู่เนืองแน่น ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คล้าย ๆ กับสยามค่ะ แสงสี และผู้คน ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด บวกกับอากาศที่เย็นสบาย พวกเราเดินจนลืมเหนื่อยเลยหละค่ะ นอกจากร้านอาหารแล้ว เพื่อน ๆ คนไหนต้องการซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้าน แนะนำให้ซื้อที่นี้เลยค่ะ ราคาไม่แพง และมีให้เลือกมากมาย 4th day วันสุดท้าย ก่อนเดินทางกลับ วันนี้เราพากันขึ้นรถโดยสารประจำทาง จากที่พัก มุ่งหน้าสู่ทางตอนใต้ของเกาะโอกินาวา จุดหมายวันนี้คือ การไปเดินชมถ้ำที่ Okinawa world และต่อด้วยจิบกาแฟยามบ่ายที่ Valley of Gangala จะบอกว่าประสบการณ์การขึ้นรถโดยสารที่นี้ครั้งแรกก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดค่ะ เพื่อน ๆ เพียงแค่รับตั๋วจากเครื่อง ตรงทางขึ้น จากนั้นก่อนเพื่อน ๆ จะลงจากรถ ให้ดูจอค่าโดยสารที่โชว์อยู่ด้านหน้าเหนือคนขับค่ะ เมื่อใกล้ถึงปลายทาง เราก็กดสัญญาณกริ่ง และรอให้รถจอดเทียบท่าสนิท ค่อยเดินตรงไปจ่ายเงินค่าโดนสารผ่านเครื่องเก็บเงินด้านข้างคนขับ หากเพื่อน ๆ เตรียมเงินมาไม่พอดี สามารถแลกเงินผ่านเครื่องได้เลยค่ะ ด้วยความที่สถานที่ ๆ เราไป อยู่สุดสาย เราเลยนั่งกันยาว ๆ ชิล ๆ ดื่มด่ำสองข้างถนนอย่างไม่ต้องกังวลเลยหละค่ะ ฮ่า ๆ ในไม่ช้ารถโดยสารค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาถึง Okinawa world ค่ะ พวกเราไม่รีรอ รีบลงจากรถ และตรงเข้าไปด้านในทันทีเลยค่ะ เรามีบัตรผ่านเรียบร้อยแล้วหลังจากที่ซื้อกับทาง Klook ไว้ จึงไม่ต้องไปซื้อที่เคาว์เตอร์ทางเข้า เพียงแต่โชว์ให้พนักงานดูเท่านั้นค่ะ วันที่เราสองคนเดินทางไปเที่ยว สังเกตเห็นนักเรียนต่างชาติมาทัศนศึกษากันเยอะมาก และก็มีหลาย ๆ คนที่มากันเป็นครอบครัว Okinawa world เป็นศูนย์รวมวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นแหล่งสำรวจธรรมชาติของท้องถิ่น อีกทั้งยังมีการจัดแสดงโชว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงงู การสอนและ สาทิตการเป่าแก้ว แต่จุดเด่นของที่นี้คือ ถ้ำ Gyokusendo ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 300,000 ปี เลยค่ะ โดยภายในมีความยาวถึง 5,000 เมตร แต่ทางเท้าที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินชม มีเพียง 890 เมตรเท่านั้นค่ะ ภายในถ้ำอากาศจะอยู่ที่ประมาณ 20-22 องศา ระหว่างทางเดินจะมีน้ำหยดลงจากผนังถ้ำตลอดทาง และบนพื้นจะนองไปด้วยน้ำค่ะ นอกจากนั้นยังมีไฟส่องสว่างอยู่ตลอดทางเดิน ใช้เวลาเดินชมประมาณ 20 นาทีก็ครบทั้งถ้ำแล้วค่ะ หลังจากนั้นเราเลยชวนกันไปจิบกาแฟยามบ่าย ตามที่เราวางแผนไว้ โดยเราต้องเดินเท้าข้ามมายังอีกฝั่งถนนก็จะเจอร้านกาแฟแล้วหละค่ะ Valley of Gangala Cave Cafe ความเก๋ไก๋ของกาแฟที่นี้คือ เปิดอยู่ปากถ้ำ และขายเพียงกาแฟเท่านั้น ไม่มีขนม ของหวานอย่างอื่นขายนะคะ ส่วนราคาก็เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ไม่มีชาร์จค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มเติม นั่งกันได้ชิล ๆ ยาว ๆ เลยค่ะ เอาจริง ๆ ถือว่าคุ้มมาก ๆ บรรยากาศดี แถมกาแฟอร่อยเข้มข้นมาก ดื่มเยอะ ๆ มีตาค้างได้เลยค่ะ ปิดจ๊อบทัวร์วันนี้ ให้คะแนนเต็ม 10 10 10 ไปเลยจ้า 5th day วันสุดท้าย วันนี้เราต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ด้วยความที่ไฟลท์บินของเราเป็นเวลา 3 ทุ่ม จึงทำให้เรามีเวลาในช่วงเช้าเดินสำรวจพื้นที่แถว ๆ โรงแรม วันนี้เราเดินทางด้วยการเดิน แล้วปรากฏว่าดันมาเจอคาเฟ่แมว เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรม วินาทีแรกเหมือนโดนมนต์สะกด ให้หางตามองไปเห็นกลุ่มเจ้าก้อนแมว วิ่งวนไปมาอยู่ในร้าน สัญชาตญาณของความเป็นทาสทำงานทันที รีบพุ่งพรวด ตรงดิ่งเข้าไปในร้านทันที ฮ่า ๆ ทุกอย่างภายในร้านมันดูน่ารัก สดใสไปทุกอย่าง ทั้งโซนทานอาหาร โซนขายของฝากสำหรับแมว และห้องน้องแมว คาเฟ่แมวที่นี้สะอาดสะอ้าน ไร้กลิ่นเหม็น อีกทั้งยังค่อนข้างเคร่งครัด และราคาจะคิดเป็นนาที หรือตามชั่วโมง จะไม่มีเหมือนแบบที่ประเทศไทยนะคะ ที่สามารถเล่นกับน้องแมวได้นานเท่าไหร่ก็ได้ และพนักงานจะบอกกฏระเบียบ อุปนิสัยของน้องแมวแต่ละตัวอย่างชัดเจน เช่น เจ้าดำ ห้ามลูบท้อง ไม่ชอบให้ลูบหัว หรือเจ้าก้อน ชอบให้เกาท้อง แต่ไม่ชอบให้ลูบหลัง ประมาณนี้ค่ะ หลังจากเกลือกกลิ้ง ฟัดเจ้าก้อนแมวทั้งหลายเสร็จ เราก็พากันไปเดินสวนใกล้ ๆ โรงแรม จากนั้นจึงตัดสินใจเช็คเอาท์ และโบกมือบ้ายบาย กลับสู่ประเทศไทยค่ะ การไปเที่ยวในครั้งนี้ ได้ทั้งมิตรภาพ ประสบการณ์ และเรียนรู้สิ่ง ๆ ใหม่ ๆ หลายอย่าง สิ่งที่ยากสำหรับทริปนี้คือ การสื่อสารกับชาวญี่ปุ่น เพราะผู้คนที่นี้ส่วนใหญ่ ค่อนข้างสื่อสารภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ๆ ค่ะ จะทำอะไรเราต้องใช้ Google Translate ตลอด แต่ก็ไม่ใช่ว่าชาวญี่ปุ่นสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะไม่ช่วยนักท่องเที่ยวนะคะ พวกเขาช่วยอย่างเต็มความสามารถ ถึงแม้ว่าจะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ตาม ทุก ๆ อย่างที่นี้ดูเป็นระเบียบไปหมด ถนนหนทาง บ้านเรือน ห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งการขับรถบนท้องถนน ทุกคนมีมารยาทและมีน้ำใจต่อกันในสังคม ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาส เราแนะนำ “โอกินาวา” ไว้เป็นอีกนึงทางเลือก สำหรับทริปญี่ปุ่นค่ะ เพราะเพื่อน ๆ จะไม่ผิดหวังแน่นนอนค่ะ