เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะเราหายใจสูดออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากับลมหายใจออก เราหายใจอยู่ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับ ฝุ่น "PM 2.5" เพราะฝุ่นชนิดนี้ลอยอยู่ในอากาศรอบ ๆ ตัว เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับการเผาในที่โล่งแจ้ง การเผาไม้ทำลายป่า การเผาขยะ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ฝุ่นจากการก่อสร้าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดฝุ่นในปริมาณที่มากเกินไป ส่งผลให้ชีวิตเราตกอยู่ในอันตราย ซึ่งทุกคนก็ล้วนแต่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คนอยู่ในเมืองก็เจอปัญหาจากควันรถ คนอยู่นอกเมืองก็เจอกับปัญหาจากการเผาป่า ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ก็มีโอกาสเผชิญกับฝุ่นชนิดนี้เหมือน ๆ กัน ดังนั้นการป้องกันในระดับปลายเหตุที่ประชาชนอย่างเรา ๆ จะทำได้ก็คือเราต้องใช้ "หน้ากากอนามัย" เพื่อการป้องกันตัวไม่ให้ต้องสูดฝุ่นเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป แล้ว "หน้ากากอนามัย" แบบไหนล่ะที่เราจะใช้ป้องกัน ฝุ่น PM 2.5 ได้? "หน้ากากอนามัยแบบผ้า" ใช้ได้หรือเปล่า ? ฝุ่น “PM2.5” คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่เข้าสู่ร่างกายเราพร้อมกับการหายใจเข้าแต่ละครั้ง ทำให้อากาศที่เราหายใจเข้าไปไม่บริสุทธิ์ เพราะขนจมูกทำหน้าที่กรองฝุ่นกรองละอองเล็กขนาดนี้ไม่ได้ ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก ฝุ่นเล็ก ๆ นี้ ผ่านลมหายใจของเราเข้าสู่ร่างกาย ผ่านไปตามอวัยวะต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ช่องจมูก หลอดคอ หลอดเสียง หลอดลม ปอด ระบบหมุนเวียนเลือด และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ฝุ่นขนาดเล็กนี้เข้าสู่ร่างกายเราอย่างเป็นพาหะนำสารต้องห้ามหลายอย่างเข้าไปด้วย เช่น ปรอท โลหะหนัก สารก่อมะเร็ง ฯลฯ เมื่อ PM2.5 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ เราจึงต้องป้องกันด้วย หน้ากากอนามัย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมีติดตัวเสมอเมื่อต้องก้าวออกจากบ้าน ต่อให้เราสุขภาพดี แข็งแรง เราก็ต้องใส่ หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกัน PM2.5 เพราะหากสูดดมเข้าไป แม้เราจะไม่ป่วยในวันนี้ แต่ฝุ่นละอองเล็ก ๆ เหล่านั้นมันเข้าไปสะสมในร่างกาย ที่สุดแล้วร่างกายก็ต้องมีปัญหาอยู่ดีทั้งทางผิวหนัง และทางร่างกาย- ทางผิวหนัง เช่น มีผื่นคันขึ้นตามตัว ระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน เป็นลมพิษ ฯลฯ- ทางร่างกาย สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ เมื่อหายใจสูด PM2.5 เข้าไป เราจะเกิดอาการไอ จาม หรือเป็นภูมิแพ้ได้ สำหรับคนที่แพ้ฝุ่นอยู่แล้วก็จะเป็นมากขึ้น ส่งผลให้เป็นหลาย ๆ โรค เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดเรื้อรัง โรคหัวใจเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง มะเร็งปอด ฯลฯ องค์การอนามัยโลก ประกาศว่า ฝุ่น PM2.5 อยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ สิ่งที่เราจะช่วยตัวเองได้ก็คือ เราต้องป้องกันตัวเอง!“หน้ากากอนามัย” เป็นสิ่งที่เราต้องมี เป็นราคาที่เราต้องจ่าย หน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือ “หน้ากาก N95” แต่ปัญหาสำคัญก็คือราคาสูงเกินกว่าที่ประชาชนคนทั่วไปจะซื้อใช้ได้ทุกวัน และด้วยความหนาของหน้ากากอนามัยประเภทนี้สวมแล้วก็จะอึดอัด หายใจลำบากกว่าปกติ เพราะถูกออกแบบมาเพื่อใส่ครอบปากและจมูกมิดชิด ดังนั้น หน้ากาก N95 จึงไม่สามารถเป็นทางเลือกของทุกคนได้ ทางเลือกที่เป็นไปได้ก็คือ การใช้ หน้ากากอนามัยที่มีฟิลเตอร์ 3 ชั้น โดยเลือกที่เขียนระบุบนผลิตภัณฑ์ไว้ข้างกล่องว่าสามารถป้องกัน PM2.5 ได้ แต่ช่วงที่ฝุ่นเยอะ ๆ การหาซื้อบางครั้งก็ยาก เพราะทุกคนก็ต้องการ อย่างที่เราได้มาก็เป็นแบบกรองเชื้อแบคทีเรียและฝุ่นละออง ซึ่งยังไม่เพียงพอกับ PM2.5 แต่ก็ยังช่วยป้องกันฝุ่นได้มากอยู่ กล่องสีฟ้าที่ซื้อมาเป็นหน้ากากกระดาษ ผลิตจากใยสังเคราะห์ ราคา 125 บาท 50 ชิ้น ทางเลือกที่ 2 สำหรับเราคือกล่องสีดำ ๆ นี่เลย หน้ากากคาร์บอน แบบ 4 ชั้น ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ข้างกล่องเขียนคุณสมบัติไว้ว่า ป้องกันเชื้อโรค-แบคทีเรีย ประสิทธิภาพกรองกลิ่นสูง และตรงตามจุดประสงค์ที่เราต้องการเลยคือ "ป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5" ราคากล่องละ 280 บาท 50 ชิ้น เฉลี่ยแผ่นละ 5 บาทกว่า ๆ คือจำนวนเงินที่เสียแต่ละวันหากต้องออกจากบ้าน ซึ่งราคาหน้ากากอนามัย แต่ละที่ก็คงจะแตกต่างกันไป สำหรับเราหาซื้อได้ในราคานี้ ในช่วงที่ ฝุ่น PM 2.5 คละคลุ้งไปทั่ว ๆ แต่หากว่าเราใช้ หน้ากากอนามัยแบบผ้า เราจะประหยัดอย่างมาก เพราะเมื่อใช้แล้ว สามารถนำมาซัก ตากแดดให้แห้ง แล้วนำกลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง แต่...หน้ากากอนามัยแบบผ้า ป้องกันฝุ่นควันได้ ไม่สามารถป้องกันฝุ่นขนาดเล็กมาก ๆ อย่าง PM 2.5 ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถกรองฝุ่นขนาดใหญ่ ลดการปนเปื้อนละอองฝอยจากการไอ การจามได้ ดังนั้นหากช่วงไหนที่ หน้ากากอนามัยขาดตลาด การใช้ หน้ากากอนามัยแบบผ้า ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะสามารถเย็บใช้เองได้ ซื้อมาใช้ราคาก็ไม่แพงมาก และเมื่อใช้แล้วนำไปซักกลับมาใช้ไหม่ได้อีก ลดการสร้างขยะได้ด้วย หน้ากากอนามัย ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม แม้จะไม่สามารถปกป้องเราจาก ฝุ่น PM 2.5 หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ 100% แต่เมื่อต้องอยู่ในที่ชุมชนมีคนเยอะ ๆ ก็ต้องสวมป้องกันไว้ก่อน เพราะเราไม่รู้ว่ามีใครป่วยเป็นอะไรบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อโรคต่าง ๆ เช่นป้องกันการไอหรือจาม ตัวเราเองไม่ไปแพร่เชื้อให้คนอื่น และเราก็ไม่ไปรับเชื้อจากคนอื่นด้วย การไอจามแต่ละครั้งน้ำมูกน้ำลายที่มีเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายไปได้ไกลถึง 3 ฟุต การใส่หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันได้มากทีเดียว ทุกวันนี้ประชาชนอย่างเรา ๆ แก้ปัญหากันที่ปลายเหตุ เกิด ฝุ่น PM 2.5 ขึ้นแล้ว จึงต้องซื้อ หน้ากากอนามัย มาใช้กัน เป็นภาระในเรื่องของค่าใช้จ่าย ที่ทำให้รายจ่ายในแต่ละวันเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามองย้อนกลับไปที่ต้นเหตุ แท้จริงแล้วเราก็เป็นต้นเหตุของการสร้างปัญหาด้วย การแก้ปัญหา ฝุ่น PM 2.5 ที่ดีที่สุดคือการแก้ไขที่ต้นเหตุ เช่น ไม่เผาป่า ไม่เผาขยะ ลดปริมาณการใช้รถยนตร์ในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งนอกจากประชาชนแล้ว ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็ต้องช่วยกันหาวิธีควบคุมค่าฝุ่น PM 2.5 ไม่ให้เกินมาตรฐานในทุก ๆ วันอย่างเป็นรูปธรรม ก็จะช่วยให้ฝุ่นควันลดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน... หากทุกคนมีความตั้งใจที่จะเป็นทั้งคน ต้นทาง และ ปลายทาง ที่จะช่วยป้องกัน ฝุ่น PM 2.5 ไม่ให้เกิดขึ้นบนโลกของเรา ประเทศของเรา สักวันเราคงไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เหมือนในอดีตที่เคยเป็น :) ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภาพประกอบ จาก ฉันท์ชมา ผู้เขียนขอบคุณภาพประกอบจาก...ภาพปก ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพที่ 6