ฟุตบอลบนโลกนี้นั้น มีสโมสรฟุตบอลมากมายหลายทีมนับไม่ถ้วน หลาย ๆ ทีมต่างก็มีประวัติศาสตร์มีความสำเร็จแตกต่างกันไป หลายทีมประสบความสำเร็จแล้วก็หายไป ทิ้งไว้แต่เพียงภาพจำ แต่ก็มีบางทีมที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงยาวนานจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในทีมนั้น คือ "ยูเวนตุส" นั่นเองครับ เราคงจะปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า ยูเวนตุสเป็นหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในโลกในตอนนี้ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกือบจะทำให้ทีมยูเวนตุส เกือบจะกลายเป็นทีมที่ “เคยประสบความสำเร็จแล้วหายไป” วันนี้ผม "นายคิ้ว" จะประเดิมกันด้วยเรื่องนี้แหละครับ เรื่องนี้มีหลายพาร์ทให้ผู้อ่านได้อ่านแบบเน้น ๆ แน่นอนครับ รอติดตามกันได้เลยครับ [P. 1] Juve กัลโช่โปลี ย้อนกลับไปในศึกเซเรียอา อิตาลี่ ฤดูกาล 2004-2005 เป็นหนึ่งในปีที่การชิงแชมป์สคูเด๊ดโต้เป็นไปด้วยความดุเดือด ปีนั้นมี “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน ดีกรีแชมป์เก่า ที่คุมตราทัพโดย "คาร์โล อันเชล็อตติ" ในสมัยนั้นนักเตะมิลานทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้รักษาประตูจนไปถึงกองหน้า เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลก นำทัพโดย "แบ็คซ้ายอมตะ" กัปตันทีมปีศาจแดงดำ เปาโล มัลดินี่ รวมถึงในตอนนั้น มีนักเตะที่ดีที่สุดในปีนั้น การันตีด้วยรางวัลบัลลงดอร์ปี 2004 อย่างอันเดร เชฟเชนโก้ ที่ระเบิดฟอร์มสุดยอด เป็นดาวซัลโวประจำลีคทำไป 24 ประตูในลีค และ 28 ประตูในซีซั่นนั้น กลับกันก็มี “ไอ้ม้าลาย” ยูเวนตุส ทีมที่อกหักมาในฤดูกาลก่อนด้วยการจบเพียงที่ 3 ตามหลังมิลานถึง 13 แต้ม ยูเวนตุสที่ต้องการทวงสคูเด๊ดโต้กลับมา จึงทำการปรับเปลี่ยนทีมครั้งใหญ่ เริ่มต้นการจากเปลี่ยนผู้จัดการทีมจากมาร์เซโล่ ลิปปี้ ไปเป็นฟาบิโอ คาเปลโล่จากโรม่า แล้วทำการเสริมทัพตัวหลัก ๆ เข้ามา - โจนาธาน เซบิน่า (หมดสัญญาจากโรมา) - ฟาบิโอ คันนาวาโร่ (14 ล้านยูโร จากอินเตอร์ มิลาน) - ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (16 ล้านยูโร จากอาแจ็กซ์) - เอเมอร์สัน (28 ล้านยูโร จากโรมา) นี่คือรายชื่อตัวหลักๆที่ “ไอ้ม้าลาย” เสริมทัพในฤดูกาลนั้น ตอนนั้นยูเวนตุสต้องสูญเสียเงินในการเสริมทัพสูงถึง 71 ล้านยูโร ผนึกกับกำลังหลักในฤดูที่แล้วอย่างกัปตันอเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, จิอานลุยจิ บุฟฟ่อน, เมาโร คามอราเนซี่, จิอานลูก้า ซัมบรอตต้า, ลิลิยอง ตูราม, พาเวล เนดเวด และดาวซัลโวประจำทีมอย่างดาวิด เทร์เซเก้ต์ ที่ฤดูกาลที่แล้วเบิกสกอร์ไป 16 ประตูในลีค และ 22 ประตูในทุกรายการ ยูเวนตุสพร้อมแล้วที่จะทวงสคูเด๊ดโต้กลับสู่เมืองตูรินแล้ว ช่วงต้นฤดูกาลนั้น "ไอ้ม้าลาย" ยูเวนตุสทำผลงานในลีคได้ดีมาก ๆ ประเดิมผลงานด้วยการบุกไปเอาชนะเบรชชา 3-0 และหลังจากนั้น 9 นัดแรกที่ยูเวนตุสลงเล่นในลีค พวกเขาชนะ 8 นัด เสมอ 1 นัด เสียเพียง 2 ประตู ก่อนจะพลาดท่าแพ้เรจจิน่าไป 2-1 ในนัดที่ 10 รั้งจ่าฝูงในตาราง กลับไปทางด้านของ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน 10 นัดแรกของพวกเขาก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน พวกเขาชนะ 6 นัด เสมอ 3 นัด แพ้ 1 นัด รั้งอันดับที่ 2 ของตารางคะแนน หลังจากนั้นการแย่งชิงตำแหน่งของทั้งสองทีมก็ร้อนระอุ ทั้งสองทีมต่างก็ทำแต้มตามกันมาติด ๆ โดยเป็นยูเวนตุส ครองอันดับหนึ่งไว้ยาวจนถึงนัดที่ 22-23 ยูเวนตุสก็พลาดท่าพ่ายซัมป์โดเรียคาบ้าน และบุกไปแพ้ปาแลร์โม่ 1-0 ทั้งสองนัด มิลานที่ทำแต้มตามมาติด ๆ ก็แซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงในนัดที่ 25 หลังเอาชนะ กาญารี่ 1-0 จากประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บจาก "เซอร์จินโญ่" มิลานครองตำแหน่งจ่าฝูงไปจนถึงนัดที่ 31 ก็พลาดท่าจนได้ เมื่อแพ้เซียน่าไป 2-1 ส่วนทางด้านยูเวนตุส ในวันนั้นพวกเขาพลาดท่าเสียประตูให้กับเลชเช่ก่อน ก่อนที่ยูเวนตุสจะกลับมาตีเสมอ และเป็น "ซลาตัน อิบราฮิโมวิช" ระเบิดฟอร์มสุดยอด ซัดแฮตทริค ยิงคนเดียวไป 3 ประตู ทำสกอร์หนีห่างไปเป็น 4-1 ก่อนที่เกมนั้นจะจบที่ยูเวนตุสเอาชนะเลชเช่ไปได้ 5-2 ทำให้ “ไอ้ม้าลาย” กลับไปขึ้นแท่นจ่าฝูงอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ช่วง 7 นัดสุดท้าย เป็นฝั่งของ “ไอ้ม้าลาย” ที่พลาดก่อนในแมชท์ดาร์บี้อิตาเลีย (Derby d’Italia) พ่ายอินเตอร์ มิลาน 1-0 จากประตูของจูลิโอ ครูซ ทำให้มิลาน ที่ชนะ 2 นัดรวดกลับขึ้นมาครองจ่าฝูงอีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เอาชนะในนัดที่ 34 ได้ทั้งคู่ แล้วทั้งคู่ต้องมาเจอกันเองในนัดที่ 35 1. เอซี มิลาน 76 คะแนน ผลต่างได้เสียประตู +36 2. ยูเวนตุส 76 คะแนน ผลต่างได้เสียประตู +35 นี่คือตารางคะแนนหลังจากนัดที่ 34 ครับ ทั้งสองทีมมีคะแนนเท่ากัน ผลต่างได้เสียต่างกันแค่ 1 ลูกเท่านั้น การเจอกันในนัดแรกของทั้งคู่ ก็เสมอกันไปใน "เดลเล อัลปิ" รังเหย้าของยูเวนตุสไป 0-0 ดังนั้นนัดนี้เป็นเหมือนนัดชี้ขาดว่าใครจะได้คว้าสคูเด๊ดโต้ไปครอง ในนัดนี้มิลานค่อนข้างได้เปรียบกว่า เพราะจะได้เล่นในสนาม "ซาน ซีโร่" รังของกองเชียร์ปีศาจแดงดำของพวกเขา แต่มิลานก็ต้องห้ามประมาทหลุดแพ้ หรือเสมอยูเวนตุสแบบมีสกอร์ ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะร่วงลงไปอันดับที่ 2 ทันที * เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ * ตารางคะแนนกัลโช่ซีเรียอา อิตาลี่จะวัดผลตามจาก 1. คะแนน 2. แต้มในนัดทั้งสองทีมเจอกัน 3. ผลต่างประตูในนัดที่ทั้งสองทีมเจอกัน (รวมอเวย์โกล) และ 4. ผลต่างประตูได้เสียทั้งหมด ตามลำดับครับ ก่อนจะเริ่มการแข่งขันนั้น เป็นทางด้าน "ไอ้ม้าลาย" ที่จะได้พักหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ เนื่องจากยูเวนตุส พึ่งตกรอบแปดทีมสุดท้ายจากศึกยูฟ่าแชมป์เปียนลีค ด้วยน้ำมือของลิเวอร์พูลไปแล้ว กลับกันทางด้านเอซี มิลาน พึ่งกรำศึกหนักกลางสัปดาห์มาในรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่าแชมป์เปียนลีค ในนัดสุดมันที่ปีศาจแดงดำ บุกไปพ่าย พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน 3-1 แต่ยังเข้ารอบในชนิดที่เกือบจะต้องเหนื่อยต่อเวลาพิเศษเพิ่ม 120 นาที แต่รอดมาได้ด้วยลูกโขกของ "มัสซิโม อัมโบรซินี่" ในช่วงท้ายเกม ในด้านความพร้อมของทั้งสองทีมนั้น ทางด้านมิลานพร้อมในทุกตำแหน่งชนิดที่ว่าเป็นนักเตะระดับโลกทุกคน (+ยอน ดาล โทมัสสัน) นำทัพโดย "แบ็คซ้ายอมตะ" เปาโล มัลดินี่ และผู้จัดการทีม "คาร์โล อันเชล็อตติ" วางหมากมาในระบบ 4-3-1-2 มี "เนลสัน ดิด้า" เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คน มี "เปาโล มัลดินี่, อเลสซานโดร เนสต้า, ยาป สตัม และคาฟู" กองกลาง 3 คน ใช้ "อันเดร ปีร์โล่, เจนนาโร กัตตูโซ่ และคลาเลนซ์ เซดอร์ฟ" กองกลางตัวรุกเป็นทางด้านของ "ริคาร์โด้ กาก้า" และกองหน้าสองตัวคู่เป็น "ยอน ดาล โทมัสสัน และอันเดร เชฟเชนโก้" ทางด้านทีมเยือนยูเวนตุส ขาดผู้เล่นคนสำคัญอย่าง "ซลาตัน อิบราฮิโมวิช" ดาวซัลโวประจำทีมที่ติดโทษแบนใบเหลืองครบ "ฟาบิโอ คาเปลโล่" จึงต้องเอาอเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ จับยืนคู่กับทางด้านของดาวิด เทร์เซเก้ต์ ที่พึ่งเรียกความฟิตได้จากอาการบาดเจ็บ โดย "ไอ้ม้าลาย" มาในระบบ 4-4-2 มี "จิอานลุยจิ บุฟฟ่อน" เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คน มี "จิอานลุยก้า เพอร์ซอตโต้, ลิลิยอง ตูราม, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และจิอานลุยก้า ซามบรอตต้า" กองกลางมี "เมาโร คามอราเนซี่, สตีเฟ่น อัปเพีย, เอเมอร์สัน และพาเวล เนดเวด" โดยมี "อเลสซานโดร เดล ปีเอโร่ และดาวิด เทร์เซเก้ต์" เป็นคู่กองหน้า โดยมีผู้ตัดสินที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกตัดสินในเกมนี้ คือ "ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า" เมื่อทั้งสองทีมเดินจับมือกันเสร็จ กัปตันของทั้งสองทีมได้เผชิญหน้ากันเพื่อเสี่ยงทายเหรียญหัวก้อย มัลดินี่ทายเหรียญถูก เขาเลือกที่จะอยู่ฝั่งขวา เดล ปีเอโร่ เดินกลับไปกลางสนามเพื่อจะเขี่ยบอล ผู้ชมในสนาม "ซาน ซิโร่" รังของปีศาจแดงดำ 79,000 คน พร้อมที่จะติดตามการแข่งขันสุดคลาสสิคนี้แล้ว เปิดมาในช่วงต้นเกม เป็นเอซี มิลานที่ได้เริ่มครองเกมก่อน โดยมีเป้าหมายหลักคือการสาดบอลขึ้นไปข้างหน้าให้เชฟเชนโก กลับกัน เมื่อยูเวนตุสเริ่มตั้งหลักได้ก็เริ่มหาจังหวะเข้าทำเกมบ้าง โดยเน้นการเปิดครอสบอลจากริมเส้นเข้าแดนกลาง โอกาสลุ้นครั้งแรกของมิลานก็มาถึง ในนาทีที่ 19 เมื่อเดล ปิเอโร่ พักบอลที่สาดขึ้นมาไม่อยู่ บอลเข้าถึงเนสต้า จึงรีบโต้กลับ ส่งบอลให้คาฟูที่ริมเส้นฝั่งขวา คาฟูส่งขึ้นกลางมาที่กาก้า กาก้าจับบอลหนึ่งจังหวะ แล้วสาดลูกฟุตบอลขึ้นหน้าไปที่เชฟเชนโก้ เชฟเชนโก้วิ่งฝ่าช่องว่างแนวรับของยูเวนตุส แล้วล็อคหลบผ่านบุฟฟอนไปทางขวาไปแล้ว แต่ผู้เล่นยูเวนตุสวิ่งมาปิดมุมยิงไว้หมด เชฟเชนโก้จึงจะเปิดบอลไปให้โทมัสสันที่ยืนรออยู่ที่กรอบเขตโทษ แต่บุฟฟ่อนยังวิ่งลุกขึ้นมาปัดด้วยหลังมือได้ทัน ทั้งสองฝ่ายก็ยังหาจังหวะเข้าทำจบสกอร์ไม่ได้กันสักที ครองบอลกันไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนั้น พอถึงนาทีที่ 27 เมื่อคาฟูเปิดครอสบอลเข้ากลาง เพอร์ซ็อตโต้โหม่งเคลียร์ออกมาให้กับอัพเพีย ยูเวนตุสจึงรีบทำการสวนกลับ อัพเพียเปิดบอลออกไปทางริมเส้นฝั่งซ้ายกลางสนาม เนดเวดรีบวิ่งไปส่งบอลก่อนที่ลูกบอลจะออกเส้นข้าง ส่งทะลุมาให้เดล ปิเอโร่ รีบวิ่งมารับที่ริมเส้นหน้ากรอบเขตโทษ เดล ปิเอโร่เลี้ยงหาจังหวะอยู่สักพัก แล้วเปิดบอลด้วยเท้าซ้าย แต่ติดขาของกัตตูโซ่ บอลยังคงลอยโด่งอยู่แถวๆบริเวณเดิม เดล ปิเอโร่ เมื่อเห็นดังนั้น จึงทำสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึง ด้วยการ "กระโดดจักรยานอากาศ" ส่งบอลไปให้เทรเซเก้ต์ที่สอดเข้ามาบริเวณกรอบ 6 หลา เทรเซเก้ต์ที่ระอยู่ระหว่างกองหลังวิ่งเข้ามาโขกเน้นๆ ดิด้าพยายามที่จะปัดลูกโหม่งนี้สุอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่เป็นผล ลูกบอลทะลักจากมือดิด้า ลูกบอลลอยเลยผ่านเส้นประตูไปอย่างงดงาม เทร์เซเก้ต์รีบวิ่งไปดีใจ เขาชูสองมือขึ้นสู่ฟ้า วิ่งไปกอดเดล ปิเอโร่ คนที่ถวายพานส่งให้เทร์เซเก้ต์ที่มุมธง นักเตะคนอื่นๆของ "ไอ้ม้าลาย" รีบเข้ามาดีใจ เสียงเชียร์จากแฟนบอลจากทีมเยือนที่มีจำนวนผู้ชมน้อยกว่าทีมเจ้าบ้านดังกระหึ่ม เอซี มิลาน 0 – 1 ยูเวนตุส ดาวิด เทร์เซเก้ต์ นาทีที่ 28 หลังจากที่คอลลิน่าเป่าเริ่มเกมอีกครั้ง มิลานเริ่มคุมเกมครองบอลได้มากกว่ายูเวนตุส แต่ก็หาจังหวะจบสกอร์ไม่ได้สักที สุดท้าย เมื่อถึง 45 นาที ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่าเป่าหยุดเกมการแข่งขันในครึ่งแรก ยูเวนตุสขึ้นนำเจ้าถิ่น เอซี มิลาน 1-0 เริ่มต้นครึ่งหลัง อันเชล็อตติแก้เกม ปรับแผนมาเล่นในระบบ 3-4-1-2 โดยการส่ง "เซอร์จินโญ่" มายืนเป็นปีกซ้าย แล้วเปลี่ยนตัวกับ "อันเดร ปีร์โล่" แล้วปรับเปลี่ยนการเข้าทำจากการสาดบอลขึ้นหน้า มาเป็นการครอสบอลผ่านริมเส้นแทน ส่วนไอ้ม้าลายก็ปรับมาเล่นเกมรับ รอจังหวะสวนกลับอย่างใจเย็น พอถึงตอนนี้ มิลานเริ่มอันตรายมากขึ้น แดนกลางมิลานก็เริ่มแย่งการครองบอลของ "ไอ้ม้าลาย" ได้ ริมเส้นทั้งสองฝั่งของก็มิลานเริ่มสร้างปั่นป่วน และหลังจากนั้นไม่นาน มิลานก็ทำการแก้เกมอีกครั้งด้วยการนำเอา "ยอน ดาล โทมัสสัน" ที่ไม่มีส่วนร่วมในเกมออก แล้วส่ง "ฟิลิปโป้ อินซากี้" ลงมาแทน อินซากี้ที่พึ่งลงมาได้สองนาทีก็แผลงฤทธิ์ในทันที เมื่อกัตตูโซแย่งบอลจากคามอราเนซี่แล้วรีบสวนกลับ เซอร์จินโญ่รีบออกบอลยาวไปให้เชฟเชนโกที่ริมเส้นฝั่งซ้าย เชฟเชนโก้เปิดตัดเข้ากลางให้อินซากี้ เข้าไปดวลเดี่ยวกับบุฟฟอน แต่จังหวะยิงนั้นเป็นบุฟฟอนที่โชว์ซุปเปอร์เซฟ เอาขาเซฟลูกยิงไว้ได้ในจังหวะแรก แต่บอลยังไม่พ้นอันตราย บอลกระดอนชนแข้งอินซากี้กลิ้งเข้าหาประตู อินซากี้รีบวิ่งเพื่อไปปิดบัญชี แต่ซามบรอตต้ายังวิ่งสอดเข้ามาสกัดได้ทัน ยูเวนตุสรอดตัวไปแบบหวุดหวิด นาทีที่ 64 ยูเวนตุสได้ฟรีคิกระยะ 35 หลา เนดเวดเปิดบอลเข้าหัวเดล ปิเอโร่ ได้โหม่งจ่อ ๆ บอลเลยผ่านตัวดิด้าไปแล้ว แต่บอลเจ้ากรรมชนคานเน้น ๆ ยูเวนตุสยังเบิกสกอร์เพิ่มไม่ได้ หลังจากนั้นมิลาน ทำทุกหนทางเพื่อที่จะตีเสมอ อันเชล็อตติเปลี่ยนเอา "รุย คอสต้า" ลงมาแทน "คลาเลนซ์ เซดอร์ฟ" มิลานบุกหมดหน้าตักชนิดที่ว่าผู้เล่นทุกคนยกเว้นผู้รักษาประตูอยู่ในแดนฝั่งของยูเวนตุส จะส่งยาวก็ดี ครอสบอลเข้ากลางก็ดี สาดขึ้นหน้าก็ดี เกมรับของยูเวนตุสจัดการได้เด็ดขาดหมดเลย จนกระทั่ง... ปริ๊ด... ปริ๊ดดด... เอซี มิลาน 0 – 1 ยูเวนตุส ดาวิด เทร์เซเก้ต์ นาทีที่ 28 เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดของคอลลิน่า เสียงเฮจากฝั่ง "ไอ้ม้าลาย" กระหึ่ม เหล่าสตาฟโค้ช นักเตะตัวสำรองต่างวิ่งมาดีใจด้วยความสุข จิอานลุยจิบุฟฟ่อนวิ่งไปดีใจกับกองเชียร์ เพราะพวกเขาเชื่อแล้วว่า "ก้างขวางคอชิ้นโตที่ขวางทางถ้วยสตูเด๊ดโต้" ได้ถูกเอาออกไปแล้ว 1. ยูเวนตุส 79 คะแนน ผลต่างได้เสียประตู +36 2. เอซี มิลาน 76 คะแนน ผลต่างได้เสียประตู +35 หลังจบเกมการแข่งขัน อันเชล็อตติ และกัปตันทีม มัลดินี่ ยังคงเชื่อว่าการลุ้นแชมป์สคูเด๊ดโต้ยังไม่จบ อันเชล็อตติบอกว่า “ผลเสมอน่าจะเป็นผลที่พวกเราควรจะได้... พวกเราจะสู้จะสู้อย่างเต็มที่กับนัดที่เหลือเพื่อคว้าแชมป์นี้” ส่วนมัลดินี่ก็ได้บอกเพิ่มเติมว่า “เส้นทางลุ้นแชมป์เรายังไม่จบ, ใช่ พวกเขาได้เปรียบเรามากกว่า แต่มันก็ไมได้หมายความว่าเขาได้แน่นอนแล้วหนิ” แต่เมื่อพลาดนัดนี้ไปแล้ว หลังจากนั้นมิลานก็กู่ไม่กลับอีกเลย ในลีคนัดที่ 36 พวกเขานำเลชเช่อยู่ 2-1 ก็มาโดนทีเด็ดของ "มีร์โค วูชินิช" ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เสมอไป 2-2 นัดต่อมา พวกเขาก็นำปาแลร์โม่ก่อน 3-1 ก็มาโดนพลิกกลับมาเสมอ 3-3 ในช่วง 15 นาทีสุดท้าย นัดสุดท้ายก็ต้องไปไล่ตีเสมออูดิเนเซ่ช่วงท้ายเกมอีก เสมอกันไป 1-1 ทำให้มิลานจบเพียงอันดับที่ 2 มี 79 คะแนน มิหนำซ้ำ ในนัดชิงยูฟ่าแชมป์เปียนลีคที่เจอกับลิเวอร์พูลที่อิสตันบูล มิลานนำลิเวอร์พูลไปก่อนในช่วงครึ่งแรก 3-0 ก็มาโดนทีเด็ดของลิเวอร์พูลสร้างปาฏิหาริย์อิสตันบูล กลับมาตีเสมอเป็น 3-3 ก่อนที่มิลานจะแพ้การดวลจุดโทษไป 2-3 อย่างน่าเจ็บใจ ทำให้มิลานพลาดแชมป์และเป็นได้แค่พระรองไปถึง 2 รายการ ส่วนยูเวนตุสที่ชนะมิลานมาได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ฟอร์มดีชนิดหยุดไม่อยู่ เริ่มจากชนะปาร์มาไป 2-0 ก่อนที่จะคว้าแชมป์สคูเด๊ดโต้ได้สำเร็จในนัดที่เสมอลิเวอร์โน 2-2 พร้อมทั้งปิดฉากฤดูกาลนั้นอย่างสวยงามด้วยการเอาชนะกาญารี่ 4-2 ปิดฉากโดยการที่ "ไอ้ม้าลาย" เก็บไปได้ 86 คะแนน เหนือคู่แข่งอย่างเอซี มิลาน 7 คะแนน คว้าถ้วยสคูเด๊ดโต้กลับเข้าไปสโมสรตนได้เป็นครั้งที่ 28 อย่างสวยงาม ในขณะที่ทุกคนในทีมยูเวนตุสกำลังเฉลิมฉลองอยู่กับความสุขที่ได้สคูเด๊ดโต้นั้น และเตรียมความพร้อมที่จะป้องกันแชมป์สคูเด๊ดโต้ ทั้งผู้เล่น ผู้จัดการทีมและสต๊าฟโค้ชทำงานกันอย่างหนัก ในระหว่างนั้นเอง มันก็กำลังจะมีอะไรบางอย่างที่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ตัว ที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของยูเวนตุส... * จบพาร์ทแรก * เรียบเรียงโดย นายคิ้ว ขอบคุณรูปภาพจาก sport.trueid.net รูปปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3