โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก วิธีการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรก็เปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมที่เคยเป็น ต้นทุนของแต่ละบริษัทที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยในการรับคนเข้าทำงาน การที่บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องรักษาฐานพนักงานเดิมเอาไว้ แต่ไม่สามารถรับคนใหม่เข้ามาเพิ่มได้ นั่นก็อาจเพราะบางแห่งมีนโยบายโครงสร้างเป็นกรอบกำหนด ขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ต้องลดงบประมาณลงจากเดิม ในเมื่อทรัพยากรบุคคลมีจำกัด แต่งานบางอย่างกลับล้นมือ อะไรจะเป็นทางออกที่ดีไปกว่าการจ้าง Outsource มาช่วยทำงาน เพื่อให้ได้ปริมาณงานตามที่ต้องการ และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่งานในแต่ละประเภทก็มีข้อจำกัดเช่นกัน งานไหนจะเหมาะกับ Outsourcing หรือ Insourcing ก็ต้องมาดูกันเป็นงาน ๆ ไปถ้าจะให้เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น Insourcing ก็คือคนในบริษัท พนักงานของบริษัท ส่วน Outsourcing คือบุคคลภายนอกที่จ้างมาทำงาน เป็นชิ้นงาน เป็นพาร์ทเนอร์ บริษัทบุคคลที่ 3 ที่มาเหมารับเป็นงาน ๆ ไป เพราะบางครั้งการจ้าง Outsourcing นั้นก็เป็นเรื่องของความรวดเร็วในการทำงาน หรืออาจจะเป็นงานที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน หรืออาจจะเป็นงานในตำแหน่งที่การรับคนใหม่เป็นความยุ่งยากตามที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่เกี่ยวพันกันทั้งสิ้น ส่วน Insourcing มีข้อดีกว่าคือเป็นคนองค์กรเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน หรือในแง่ความไว้ใจกันก็คือไม่ต้องกังวลเรื่องความรับผิดชอบต่อข้อมูลแล้วงานไหนควรจ้าง Outsourcing มาทำงาน หากเปรียบเทียบกับองค์กรที่ทำอยู่ แผนกที่ใช้งานคนนอกได้เลย ก็จะเป็นประเภทงานสร้างสรรค์ที่สามารถจ้างเป็นชิ้นงานได้ เช่น กราฟฟิกดีไซน์ ช่างภาพ ช่างกล้อง ถ่ายทำ Footage ต่าง ๆ งานตัดต่อวิดีโอ รวมไปถึงงานด้านบริการ เช่น แผนกแม่บ้าน งานรักษาความปลอดภัย พนักงานขับรถ รวมถึงงานส่งเอกสาร ซึ่งลักษณะงานไม่จำเป็นต้องจ้างประจำ เพราะการจ้างประจำจะทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับปริมาณงานที่ต้องการ ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล ที่จะตามมาอีกมากข้อดีของ Outsourcing ที่ชัดเจนคือได้คนที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญ และมีประสบการณ์เฉพาะทางกับงานนั้นจริง ๆ ได้งานที่มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ที่เจาะจงได้ จ่ายครั้งเดียวไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่วนข้อเสียก็คือการขับเคลื่อนองค์กร ที่จะทำให้องค์กรนั้น ๆ ขาดบุคลากรประจำที่มีศักยภาพมารับผิดชอบงานโดยตรงส่วน Insourcing จะเป็นงาน Back Office เป็นหลัก เช่น งาน Admin การเงิน การบัญชี งานสนับสนุนต่าง ๆ ที่ต้องใช้เอกสารเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานให้สำเร็จ หรืองานเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น Engineer โปรดิวเซอร์ ครีเอทีฟ ช่างประจำห้องส่ง ช่างซ่อมบำรุงอาคารสถานที่ที่ต้องมีคน Stand By ตลอด 24 ชั่วโมง เผื่อกรณีมีเหตุฉุกเฉิน โดยรวมแล้ว Insourcing เป็นลักษณะงานที่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คล่องตัว งานเดินไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รวมถึงงานที่ต้องปฏิบัติตามนโยบาย ซึ่งการจ้างเป็นพนักงานประจำจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้ดีกว่าสำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน ยกตัวอย่าง เช่น งาน Info Graphic หากจ้างเป็นชิ้นงานอาจจะอยู่ที่ชิ้นละประมาณ 1,000 บาท ใน 1 เดือน ใช้ประมาณ 30 ชิ้นงาน ค่าใช้จ่ายจะตกอยู่ที่ 30,000 บาท แต่หากจ้างพนักงานประจำ 1 คน ค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับงานตำแหน่ง Graphic Designer ประมาณเดือนละ 35,000 - 40,000 บาท และนอกจากนั้นองค์กรจะต้องมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ค่าประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันภัย และค่าสวัสดิการพนักงานอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายต้นทุนที่ผูกพันระยะยาวจริง ๆ แล้วหลายคนอาจจะมองว่าการจ้างคนน้อยก็มาจากเหตุผลด้านต้นทุนเป็นเรื่องหลัก ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด เพราะการจ้างบริษัทข้างนอกบางทีไม่ได้ถูกกว่า หรือสามารถลดต้นทุนได้อย่างจริงจัง ก็เป็นได้ แต่อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาบุคลากรขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปเสียอีก เพียงแต่ในโลกของธุรกิจนั้น วิธีการทำงาน วิธีการตัดสินใจ เวลาเพียงเสี้ยววินาที อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสอันมากมายมหาศาลไปก็ได้ ดังนั้น ความรวดเร็วและความเหมาะสมในการทำงานจึงตอบโจทย์ Time to Market ได้เป็นอย่างดีภาพประกอบ 1. ผู้เขียน 2. pxhere 3. pxhere 4. pxhere