เวลาเราไปเดิน Super Market แล้วเหลือบไปเห็นผลไม้นำเข้าหน้าตาประหลาด มีขน ผลสีน้ำตาล รสเปรี้ยวอมหวาน อย่าง กีวี่ เราจะเห็นสติกเกอร์ Zespri New Zealand อยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับป้ายราคาขายที่สูงลิ่ว จากประสบการณ์เป็นกรรมกรในสวนกีวี่ที่นิวซีแลนด์อยู่หลายเดือนวันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟัง ว่าทำไมผลไม้ลูกเล็กๆ จากเกาะทางใต้นี้จึงมีราคาแพงและขายดีไปทั่วโลก กีวี่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของนิวซีแลนด์ก็จริงแต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดในเมืองทางเหนือของจีน ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เป็นที่ถูกปากของคณะเผยแผ่ศาสนาหรือมิสชันนารีจากยุโรปก็ได้นำเมล็ดพันธุ์ไปปลูกที่บ้านเกิดของตนและแพร่หลายอย่างมากโดยเฉพาะในเกาะอาณานิคมอย่างนิวซีแลนด์ที่มีภูมิอากาศและสภาพดินเหมาะสมทำให้กีวี่ที่มีรสชาติดียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อกีวี่เป็นที่นิยมปลูกมากขึ้นในหมู่เกษตรกรนิวซีแลนด์จึงได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งบริษัทที่จะเป็นนายหน้าในการหาตลาดเพื่อจำหน่ายกีวี่ไปทั่วโลก รวมไปถึง กำกับดูแลคุณภาพผลผลิต ปรับปรุงพันธุ์และยังทำหน้าที่เป็นสหกรณ์อีกด้วยจึงเป็นที่มาของบริษัท Zespri ใครไคร่ค้าม้าค้า ใครไคร่ค้าช้างค้า แต่จะมาปลูกกีวี่เฉยๆ เลยไม่ได้ การจะปลูกกีวี่ได้นั้นต้องขอในอนุญาตจาก Zespri ซะก่อนซึ่งปีๆ นึงก็จะพิจารณาออกให้น้อยมากใบอนุญาตนี้จะกำหนดขนาดพื้นที่ปลูกที่สามารถปลูกได้ลงในใบอนุญาต เพื่อเป็นการควบคุมปริมาณผลผลิตให้สอดคล้องกับราคาและความต้องการในตลาดโลกและที่ยิ่งไปกว่านั้นคืออาชีพปลูกกีวี่จะสงวนให้กับคนนิวซีแลนด์เท่านั้นเป็นการปกป้องการรุกรานของทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี Zespri ครองส่วนแบ่งการตลาดค้ากีวี่ถึง 90 เปอร์เซ็นในประเทศแม้ว่าจะดูเป็นการผูกขาดแต่ก็ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกรู้ราคารับซื้อที่แน่นอนในแต่ละปีทำให้ตัดสินใจลงทุนปลูกได้ดีขึ้นแถมไม่ได้ไปแร่ขายเองสวนตัวเองผลิดได้เท่าไหร่ก็มีโรงงานมารับซื้อถึงที่ ส่วน Zespri ก็ใช้ข้อมูลปริมาณพื้นที่ปลูกจากการออกใบอนุญาตเพื่อทำนายปริมาณผลผลิต เมื่อควบคุม Supply ได้ที่เหลือคือการขยาย Demand ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จึงทำให้ราคาค้าปลีกของกีวี่นั้นสูงอย่างที่เราได้เห็นกันตามซูปเปอร์มาเก็ตนั้นเอง ลุงไรอัน เจ้าของส่วนกีวี่พันธุ์สีทองมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษๆ ในเมือง Montuaka เล่าให้ฟังว่าปีที่แล้ว (ตอนนั้นหมายถึงก็ปี 2018) เก็บกีวี่ได้ทั้งหมด 380 ตัน แถมลุงยังพูดติดตลกอีกว่าที่จริงน่าจะได้ 400 นะแต่ว่าเก็บไม่ทันเน่าคาต้นก่อน แล้วลุงรู้อยู่แล้วว่าราคารับซื้อจาก Zespri อยู่ที่กิโลกรัมละ 1.4 NZD หรือประมาณ กิโลละสามสิบบาท เท่ากับว่าปีที่แล้วลูงมีเงินเข้ากระเป๋าเหนาะๆ ประมาณ 5 แสนดอลล่านิวซีแลนด์หรือประมาณ 10 ล้านบาท ด้วยขนาดของสวนลุงที่เล็กและใช้แรงงานไม่มาก (ตอนนั้นทำงานกัน 7 คนเองนะ) บวกกับชั่วโมงทำงานต่อปีที่น้อย มีตารางการทำงานชัดเจนทำให้รู้สึกอิจฉาวิถีชีวิตชาวไร่ชาวสวนที่นี่จริงๆ ในขณะที่ราคาค้าปลีกในประเทศนิวซีแลนด์ปีนั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 5 NZD หรือประมาณ กิโลละ 100 บาท แต่พอผลไม้ลูกเล็กๆ นั้นเดินทางมาถึงไทยกลับขายเป็นลูกไม่ได้ขายเป็นกิโลในราคาลูกละ 40 บาทต้องซื้อประมาณ 6-8 ลูกถึงจะครบกิโล คิดถึงตอนที่อยู่ที่สวนขึ้นมาจับใจ ตอนนั้นหิวเปรี้ยวปากก็เด็ดกิน แบกเอากลับไปบ้านไปฝากเพื่อนในบ้านอีกเป็นกระสอบ นั่งพิมพ์ไปก็นึกถึงผลไม้ขึ้นชื่อของบ้านเราอย่างทุเรียน เงาะ ลำไย พอราคาขึ้นหน่อยคนก็แห่กันปลูกไม่พอยังมีทุนจีนเข้ามาปลูกแข่งอีกไม่กี่ปีต่อมาราคาก็ร่วงตามมาด้วยน้ำตาของคนทำสวนบ้านเรานี่เอง