อื่นๆ

Nephophilia คนรักเมฆ

2.0k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
Nephophilia  คนรักเมฆ

เมื่อพิจารณาในเชิงวิทยาศาสตร์แล้ว  เมฆก็คือไอน้ำนั่นเอง  เป็นไอน้ำที่อยู่ในอากาศแล้วเปลี่ยนสถานะเป็นอนุภาคของน้ำ หรือน้ำแข็ง หรืออนุภาคทั้งสองแบบรวมอยู่ด้วยกัน  แล้วจับตัวเป็นกลุ่มก้อน ล่องลอยไปในท้องฟ้า   ด้วยรูปทรงของเมฆทำให้มีนักวิทยาศาสตร์นำมาจำแนกออกเป็น 3 จำพวกคือ เมฆที่เป็นแผ่น เรียกว่า สตาร์ติฟอร์ม   เมฆที่เป็นก้อน เรียกว่า คิวมูลิฟอร์ม  และเมฆที่เป็นเส้นคล้ายขนนก เรียกว่า เซอร์ริฟอร์มNephophilia1

ส่วน Nephophilia (เนโฟฟีเลีย)  คือ คนที่รักเมฆ รักในก้อนเมฆ ชื่นชอบหรือหลงใหลในก้อนเมฆ  แน่นอนผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในชาวเนโฟฟิล เพราะเมฆนั้นสร้างจินตนาการแบบเด็กได้เป็นอย่างดี  และเชื่อว่านักเขียนหลายคนก็มีจินตนาการจากก้อนเมฆเหมือนกัน  ดังนั้นจึงมีนวนิยายหลายเล่มที่ใช้ชื่อเรื่องที่มีคำว่า “เมฆ” หรือ Cloud เข้ามาประกอบอยู่Nephophilia2

Advertisement

Advertisement

The Cloud Hunters

ผู้เขียนชอบถ่ายรูปท้องฟ้า  โดยเฉพาะท้องฟ้าที่มีเมฆลอยประกอบอยู่ เลยเรียกตัวเองว่า “นักล่าเมฆ”  ซึ่งไปเหมือนกับชื่อนวนิยายสำหรับเด็ก The Cloud Hunters ของอเล็กซ์ เซียเรอร์ นักเขียนชาวอังกฤษ  นวนิยายเรื่องนี้บอกเล่าถึงการผจญภัยในจินตนาการที่สวยงามซึ่งเกิดในโลกที่มีหมู่เกาะลอยอยู่บนท้องฟ้า

เรื่องราวในนิยายเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังจากหายนะที่ไม่ระบุที่มาที่ไป  แต่โลกได้ถูกทำลายจนกลายเป็นผืนดินขนาดเล็กจำนวนมากมายที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแห่งอากาศอันกว้างใหญ่ ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนผืนดินผืนเดียวตลอดชีวิต ครานั้นยังมีกลุ่มนักล่าเมฆซึ่งเป็นคนเร่ร่อนที่คอยเก็บน้ำจากชั้นบรรยากาศเอาไปแลกกับผืนดิน   คริสเตียน เด็กนักเรียนผู้ใฝ่ฝันที่จะหลุดพ้นจากบ้านอันแสนสบายบนเกาะแห่งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสที่จะใช้เวลาช่วงฤดูร้อนกับเจนนี่ สาวนักล่าเมฆและครอบครัว ซึ่งกำลังตามหาพ่อที่หายไปของเธอ   คริสเตียนก็เริ่มเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกที่เขาอาศัยอยู่Nephophilia3

Advertisement

Advertisement

Cloud Atlas

นวนิยายอีกเรื่องที่นำเอาเมฆเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คือ Cloud Atlas ของเดวิด  มิทเชลล์ นักเขียนชาวอังกฤษ  นิยายเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคต  โดยเริ่มต้นในปี 1850 โดยนักการศึกษาชาวอเมริกันเดินทางจากสถานที่ทำงานเพื่อกลับไปยังบ้านของเขาในแคลิฟอร์เนีย ระหว่างทางเขาได้รับร่วมมือกับแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งเริ่มรักษาเขาด้วยปรสิตในสมองชนิดหายาก  จากนั้นเรื่องราวก็ไปเกิดที่เบลเยียมในปี 1931 ที่ซึ่งชายนักแต่งเพลงชาวอังกฤษเดินทางไปเสี่ยงโชคในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1  ต่อมาเนื้อเรื่องได้ข้ามไปยังชายฝั่งตะวันตกในปี 1970 กับนักข่าวสาวชาวอเมริกันที่มีปัญหาสะดุดเข้ากับวังวนแห่งความโลภและการฆาตกรรมขององค์กรที่คุกคามชีวิตของเธอ  ก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์ผจญภัยว่าด้วยชีวิตบรรณาธิการชราที่ต้องหนีการไล่ล่าจากแก๊งมาเฟีย  ต่อด้วยเรื่องลัทธินีโอแคปิทัลของสาวชาวเกาหลีในโลกอนาคต   และในที่สุดก็สู่ยุคสุดท้ายของประวัติศาสตร์ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลังการล่มสลายของอารยธรรมจากปากผู้เฒ่าชาวเกาะNephophilia4

Advertisement

Advertisement

The Cloud Messenger

เมฆทูต หรือ The Cloud Messenger  เป็นบทกวีภาษาสันสกฤต แต่งโดย กาลิทาส กวีชาวอินเดีย  บทกวีนี้มีเมฆทำหน้าที่เป็นฑูตแห่งความรัก  รับฝากความรักความคิดถึงจากชายผู้ที่ทุกข์โศกไปให้ภรรยาที่อยู่ห่างไกล  ชายผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นยักษ์ ซึ่งเป็นบริวารของท้าวกุเวร ผู้ปกปักรักษาโลกประจำทิศเหนือ  ยักษ์ตนนี้ทำผิดต่อหน้าที่ของตน  ทำให้ท้าวกุเวรลงโทษด้วยการเนรเทศไปอยู่แต่เพียงลำพังที่เขารามคีรี ทางตอนใต้ของนครอลกาที่เป็นบ้านเกิด   หลังจากรับโทษไปได้ 8 เดือน ยักษ์ตนนี้ขึ้นไปบนยอดเขารามคีรีพร้อมกับมองยังทิศของบ้านตน ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นเมฆกลุ่มใหญ่ลอยมาจากทิศใต้ กำลังจะพัดไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของนครอลกา  จึงคิดจะให้เมฆเป็นฑูตแห่งความรัก  นำข่าวของตนไปแจ้งยังภรรยาเพื่อจะบอกว่าตนนั้นยังรักและคิดถึงเธอเสมอNephophilia5

Cloud Tales

ตำนานเมฆหรือ Cloud Tales ของทาจิมะ  ชินจิ  นักเขียนชาวญี่ปุ่น  ใน Cloud Tales เมฆใจดีพูดผ่านตัวอักษรเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ดังที่สังเกตได้จากสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เห็นมาตลอดหลายศตวรรษ   นิทานหลายเรื่องพาผู้อ่านไปยังอินเดีย  ปากีสถาน  เยอรมนี  แอฟริกา  ญี่ปุ่น  และปาปัวนิวกินี  ในฉากที่ย้อนหลังไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 จนถึงปัจจุบัน เรื่องราวที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์เหล่านี้มีภูมิปัญญามากมายเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และช่วยส่งเสริมการรับรู้ทางสังคมและระบบนิเวศNephophilia6

ในปี พ.ศ. 2517 ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางสายไหมโบราณจากเยอรมนีไปยังตุรกี  และผ่านอัฟกานิสถานไปยังอินเดีย  ขณะข้ามทะเลดำด้วยเรือ  สายตาของทาจิมะ ชินจิ  มองดูหมู่เมฆที่ลอยอยู่เหนือภูเขาอารารัต ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่สถิตของ ‘เรือโนอาห์’  เมื่อเดินทางต่อไปยังอัฟกานิสถาน สายตาเขาก็ยังคงมองเห็นการเคลื่อนที่ของกลุ่มเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ  เหนือที่ราบสูง   นี่จึงเป็นเหตุให้เขาใช้ประสบการณ์ในการเดินทางทั่วเอเซียและแปซิฟิก ผนวกกับจินตนาการที่สมจริงมาเขียนเล่า โดยสมมติว่าได้ฟังเรื่องราวนั้นมาจากเมฆซึ่งล่องลอยไปทั่วโลกมานานนับพันปี Nephophilia7

We all have bad days, but one thing is true;

no cloud is so dark that the sun can't shine through.

เราทุกคนต่างมีวันที่เลวร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงเสมอก็คือ

ไม่มีหรอก เมฆที่ครึ้มจนแสงอาทิตย์ส่องผ่านไม่ได้

หลายคนอาจเคยอ่านข้อความข้างต้นที่เป็นของมิแรนดา เมย์ เคอร์ นางแบบสาวชาวออสเตรเลีย เธอเป็น 1 ในนางฟ้าของวิกตอเรียส์ซีเคร็ต และเป็นชาวออสเตรเลียเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมงานกับวิกตอเรียส์ซีเคร็ตNephophilia8

และทั้งหมดนี่ก็เป็นมุมมองที่มีต่อก้อนเมฆ ซึ่งจะทำให้เรามองดูเมฆได้อย่างเข้าใจ  แม้เมฆจะแปรรูปเปลี่ยนร่างไปหลากหลาย  แต่เมฆก็ยังคงเป็นเมฆ เป็นกลุ่มก้อนของไอน้ำที่ล่องลอยไปบนท้องฟ้า ถ้าเปรียบกับความเป็นมนุษย์แล้ว ที่เหมือนกับเมฆก็คือ มนุษย์ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับบริบททางสังคมที่ตนต้องไปอิงอาศัย แต่สิ่งที่มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ มุมมองของมนุษย์  โดยเฉพาะมนุษย์ผู้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงNephophilia9

ภาพประกอบโดยผู้เขียน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
PJuns
PJuns
อ่านบทความอื่นจาก PJuns

ผู้สร้างสรรค์เรื่องราวจากสิ่งรอบตัว

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์