"นายไม่อ่านหนังสือ นายจะรู้อะไร" ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้เคยกล่าวประโยคที่แสดงถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อไล่เรียงไปในอดีต ปีพุทธศักราช 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” ให้เป็นหอสมุดสำหรับบริการประชาชนทั่วไป นับเป็นหอสมุดแห่งแรกในประเทศไทย ต่อมาในปีพุทธศักราช 2476 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “หอสมุดแห่งชาติ” และเมื่อปีพุทธศักราช 2509 ได้ทำการย้าย “สำนักหอสมุดแห่งชาติ” มาอยู่บริเวณท่าวาสุกรีจนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าการสนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสือมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับร้อยปี แต่จะด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี หรือความโบราณคร่ำครึและยากแก่การเข้าถึงของห้องสมุด หรือด้วยความบีบรัดของเศรษฐกิจและเวลาว่างที่ลดลง หรือการย่างก้าวเข้าสู่โลกของอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา หรือกระทั่งอาจจะเป็นมุกตลกเสียดสีสังคมก็ตาม นั่นทำให้ในยุคสมัยหนึ่งมีประโยคฮิตในสื่อสังคมออนไลน์ว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด !! นี่จึงนับเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องขบคิดแก้ไข เพราะแม้คนไทยจะไม่ได้อ่านหนังสือน้อยบรรทัด แต่การสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นเพื่อให้คนไทยได้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็นต้นทุนทางปัญญาที่สำคัญ เพราะความรู้ที่ได้จากกการอ่านหนังสือไม่ได้เป็นเพียงการนำมาใช้เพื่อสอบแข่งขัน หากแต่เป็นการใช้ความรู้ที่ได้ไปในการแก้ไขปัญหา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ห้องสมุด (Library) : น่าจะเป็นคำตอบของโจทย์สำคัญนี้ได้ แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ เราแทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับบทบาทและหน้าที่ของห้องสมุดกันสักเท่าไร แต่กลับสนใจการโพสรูปถ่ายคู่กับร้านหนังสือสวยๆ และแชร์ลงสื่อสังคมออนไลน์มากกว่าที่จะศึกษารายละเอียดและใช้ประโยชน์จากห้องสมุดอย่างเต็มที่ ผู้คนในปัจจุบันมีเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่พอจะรู้ว่าห้องสมุดไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ซึ่งรวบรวมแหล่งข้อมูลอ้างอิง ข้อมูลเชิงวิชาการ หนังสือ นวนิยาย เรื่องสั้น หนังสือคุณภาพ หรือสื่อประเภทต่างๆ ที่ครอบคลุมและครบถ้วนเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงวิถีชีวิต ชุมชน และวัฒนธรรมของคนในชาติเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตไม่สามารถเข้ามาแทนที่ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ ในหลายประเทศทั้งอังกฤษ เยอรมัน สวีเดน อเมริกา จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ต่างก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาห้องสมุดให้เป็นห้องสมุดยุคใหม่ที่ทรงพลังและเป็นศูนย์กลางของข่าวสารข้อมูลที่ครบถ้วน ทันสมัย หายาก เข้าถึงยาก สำหรับผู้คนซึ่งไม่มีศักยภาพพอที่จะเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมดเหล่านั้นด้วยตนเอง อีกทั้งยังจะให้ห้องสมุดยุคใหม่นี้เป็นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางปัญญาให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ด้วย ในอดีตมนุษยชาติจิตนาการถึงยูโทเปีย (Utopia) ดินแดนแห่งความสมบูรณ์ และสันติสุข โดยเมื่อกล่าวถึง ยูโทเปีย ในแง่ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมักจะสะท้อนออกมาเป็นภาพในอนาคตที่ล้ำหน้า ซึ่งมาจากพื้นฐานทางความคิดที่ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะสร้างความเปลี่ยนแปลงและเงื่อนไขใหม่ๆ แบบอุดมคติให้ชีวิตของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน ยูโทเปีย อาจมีความหมายอีกนัยหนึ่งคือ ดินแดนที่เป็นเพียงความเพ้อฝันและไม่มีอยู่จริง ในปัจจุบันผู้คนส่วนหนึ่งกำลังปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ท่ามกล่างการโหมกระหน่ำของพายุดิจิทัล (Digital) รวมทั้งการปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ซึ่งหมายรวมถึงห้องสมุด ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ในคลื่นแห่งยุคอินเตอร์เน็ต (Internet) ในอนาคตห้องสมุดจะเป็นดินแดนแห่งการเรียนรู้ที่สำคัญอันล้ำค่า เป็นยูโทเปียของนักอ่านหนังสือ หรืออาจจะเรียกว่า ไล-บโรโทเปีย (Librotopia) (เป็นคำที่ผสมขึ้นระหว่าง ไล-บเรริ (Library) และยูโทเปีย (Utopia) เข้าด้วยกัน) อันเป็นสถานที่ที่จะช่วยสร้างความรู้ จินตนาการ และสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด Librotopia จะเป็นห้องสมุดที่ล้ำหน้า ทันสมัย และเต็มไปเทคโนโลยีล้ำยุค ในการค้นหาข้อมูลจะสามารถค้นหาข้อมูลได้จากทุกรูปแบบ และผลการค้นหาไม่เพียงแสดงข้อมูลเนื้อหาเท่านั้นและแสดงถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูล และความเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้อย่างครบถ้วน Librotopia จะไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่เก็บหนังสือเท่านั้น แต่จะกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เต็มไปด้วยหนังสือและอีบุ๊กส์ดีๆ ออกใหม่ทุกปกทุกเล่มให้ยืมได้ฟรีอย่างล้นเหลือ มีแหล่งหนังสือวิชาการ หนังสืออ้างอิง ครอบคลุมสาขาต่างๆ มีสื่อและมีเดียของข้อมูลประเภทต่างๆ หนัง และเพลงทุกประเภททั้งเก่าและใหม่ที่สามารถใช้งานได้ง่าย ที่สามารถแสดงผลได้ในรูปแบบที่ล้ำยุค เช่น การสร้างภาพโฮโลแกรม หรือการแสดงภาพแผนที่ความละเอียดสูง เป็นต้น Librotopia จะเป็นสถานที่กว้างขวาง โอ่อ่า และก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมอันทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับความเคร่งขรึมเชิงวิชาการแบบดั้งเดิม เพื่อตอบสนองกับความต้องการในการใช้งานที่หลากหลายของคนทุกกลุ่ม Librotopia จะเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต มีพื้นที่จัดกิจกรรมสันทนาการ นิทรรศการ และการสัมมนาวิชาการที่ทันสมัยเพื่อเสริมสร้างความรู้ เสริมสร้างอาชีพ แบ่งปันความรู้ แรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งสามารถร่วมสร้างสรรค์ข้อมูลต่างๆ เข้าสู่ห้องสมุดได้อย่างสะดวกสบาย และมีความร่วมมือกันระหว่างห้องสมุดต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกในการส่งผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และแลกเปลี่ยนตำราต่างๆ ร่วมกัน Librotopia จะมีบรรณารักษ์ใจดีที่มีความรอบรู้ สามารถคัดเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับคนอ่าน และสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ห้องสมุดเหมือนมีชีวิต จนผู้ที่เข้ามาใช้บริการอยากจะมาเยี่ยมเยือนในทุกครั้งที่มีโอกาส สิ่งที่สำคัญที่สุด Librotopia จะเป็นสถานที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมและเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมและไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะค่าใช้จ่ายจะถูกปันส่วนมาจากหน่วยงาน องค์กร ชุมชน และผู้คนภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งรัฐบาลเพื่อสนับสนุนกิจการให้เจริญก้าวหน้า และเป็นสถานที่สำคัญของประเทศและของโลก ในปัจจุบัน ห้องสมุดหลายแห่งในประเทศไทยได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกและยุคดิจิตอลอย่างช้าๆ เพื่อให้สามารถรองรับวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้เข้าห้องสมุดและอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น โดยอีกไม่นาน เชื่อได้ว่า Librotopia หรือดินแดนในฝันของนักอ่าน จะต้องเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งในโลก และคงจะแพร่กระจายไปสู่ทุกมุมเมืองของทุกมุมโลก แต่การจะก้าวไปให้ถึง Librotopia หรือดินแดนในฝันของนักอ่าน คงจะต้องอาศัยพวกเราทุกคนช่วยกันคิด ช่วยกันสร้าง และช่วยกันผลักดันให้มันเกิดขึ้นได้จริง อย่าปล่อยให้ Librotopia กลายเป็นเพียงสิ่งเพ้อฝันและเป็นสถานที่ซึ่งไม่มีอยู่จริง !! เครดิตภาพภาพปก : 行者孔 จาก Lovepik.com / ภาพที่ 2 โดย : Alina Vilchenko จาก Pexels / ภาพที่ 3 โดย : Olenka Sergienko จาก Pexels / ภาพที่ 4 โดย : Berti Weber from Pexels / ภาพที่ 5 โดย : 行者孔 จาก Lovepik.com