ทุกคนล้วนต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต หากใครที่สามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นหรือในช่วงอายุน้อย ก็จะทำให้ตนเองและคนรอบข้างภาคภูมิใจ แต่ในอีกมุมหนึ่งการมองเห็นความสำเร็จของคนอื่นก็ยิ่งเป็นแรงกดดันให้หลายคนนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง จนกลายเป็นทำให้เกิดความผิดพลาดและประสบความล้มเหลว จึงจำเป็นต้องหันกลับมาทบทวนใหม่ว่าที่จริงแล้วเราควรค่อย ๆ สร้างความสำเร็จไปทีละขั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้สำเร็จช้ากว่าคนอื่น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมีขีดความสามารถไม่เท่ากัน มีช่วงอายุของการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกัน เราควรจึงต้องประเมินความพร้อมของตัวเราว่าสามารถทำได้ดีที่สุดแค่ไหน แล้วทำอย่างสุดความสามารถแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งนั่นก็จะทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จที่มั่นคงกว่า จึงเป็นที่มาของคำว่า “Late Bloomer” หรือ ช้าแต่ชัวส์นั่นเองLate Bloomer เป็นการเปรียบเทียบกับเด็กหญิงที่เติบโตเป็นสาวช้ากว่าคนอื่น ซึ่งก็อาจเป็นเพราะเหตุผลหลาย ๆ ปัจจัย แต่เมื่อเธอเข้าสู่วัยสาว รู้จักแต่งองค์ทรงเครื่องก็ทำให้เธอดูสวยโดดเด่นจนเป็นที่สะดุดตาของใครหลายคน จนต่อมาได้ถูกนำมาใช้อธิบายถึงคนที่เติบโตในหน้าที่การงานช้า แต่เป็นการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมั่นคง บางคนอาจจะมองกว่าการที่เราประสบความสำเร็จเร็ว ก็ยิ่งจะทำให้เรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอิสระได้มากขึ้น แต่สำหรับบางคนก็รู้สึกว่าใช้เวลากับชีวิตให้มากพอ จึงจะสามารถค้นหาเจอว่าตนเองเหมาะกับอะไร ฉะนั้นบุคคลประเภท Late Bloomer จึงเป็นพวกที่มีแรงกระตุ้นที่ค่อย ๆ ถูกส่งออกมาจากภายใน ซึ่งแรงกระตุ้นเหล่านั้นเกิดจากการเรียนรู้ที่ได้ใช้ชีวิตจนสะสมเป็นประสบการณ์ ให้ตนเองมีแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ที่จะสร้างความสำเร็จที่มั่นคงให้กับตนเองได้ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะมีจุดแข็งอยู่ 5 ข้อคือ มีความอดทน มีสติปัญหา มีความยืนหยุ่น มีความเข้าใจ และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นพี่ชายของผู้เขียนเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับ Late Bloomer ด้วยเมื่อสมัยวัยเด็กครอบครัวของผู้เขียนยากจนมาก พี่ชายของผู้เขียนตอนนั้นอายุได้ 10 ตัดสินใจบวชเป็นสามเณรเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียน เขาอดทนเรียนทั้งทางโลกและทางธรรมจนศึกษาจนจบระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมหิดลในขณะที่ยังเป็นสามเณร และจบระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ฯ ในขณะที่เป็นพระภิกษุ หลังจากนั้นก็ได้ลาสิกขาออกมาและประกอบอาชีพ เริ่มจากการไปสอบเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวให้ชาวต่างชาติ จากนั้นก็เริ่มแต่งตำราเป็นภาษาอังกฤษและได้เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนนานาชาติ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะในตอนนั้นพี่ชายของผู้เขียนเค้าก็พยายามค้นหาอยู่ว่าตัวเขาเหมาะกับอะไรกันแน่ และทำอะไรจึงจะประสบความสำเร็จ เขาได้ใช้เวลาถึงสิบปีในการเรียนรู้ด้านอาชีพโดยเขาไม่สนใจเลยว่าอายุของเขาจะมากขึ้นแล้ว จนทำให้เขาประสบความสำเร็จด้านวิชาการโดยเป็นผู้บริหารระดับสูงในสถานศึกษาที่เขาสอนอยู่ ด้วยความที่เชี่ยวชาญด้านภาษาจากที่เคยเป็นไกด์นำเที่ยวให้ชาวต่างชาติ จึงทำให้เขามีความสามารถในการเขียนตำราและสอนเป็นภาษาอังกฤษ หุ้นที่เขาลงทุนไว้ก็เติบโตจนมีกำไรหลายเท่าของเงินที่ลงทุนไป และที่สำคัญเขามีความมั่นคงในอาชีพสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้เป็นอย่างดีจากตัวอย่างที่กล่าวมานั้นก็ต้องอธิบายให้เข้าใจว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของ Late Bloomer นั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียดังนี้คือข้อดี1. เข้าใจความถนัดของตัวเองมากขึ้น2. สามารถใช้ประสบการณ์แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี3. สามารถสร้างความสำเร็จที่มั่นคงและรักษาความสำเร็จนั้นไว้ได้ถึงแม้ว่าจะมีวิกฤตใดเกิดขึ้นก็ตาม4. มีเหตุมีผลในการตัดสินใจมากกว่าคนทั่วไป5. มีจิตใจที่อดทนเข้มแข็งและไม่ย่อท้อง่ายข้อเสีย1. มักจะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นเพราะบางคนอาจใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ2. ขาดความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มักจะต้องการข้อมูลที่มากเพื่อประกอบการตัดสินใจ3. มักถูกกดดันจากคนรอบข้างที่มีความคาดหวังกับเราสูง ทำให้บางครั้งรู้สึกไขว้เขวกับสิ่งที่กำลังทำจากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็พอจะทำให้ทราบถึงแนวทางของ Late Bloomer ซึ่งคนเราไม่ว่าจะสำเร็จช้าหรือสำเร็จเร็วก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่แต่ละคนมีไม่เท่ากัน แต่สุดท้ายสิ่งที่มีความหมายที่สุดคือระหว่างทางนั้นเราได้พิสูจน์ตัวเองไว้แล้ว ว่าเราคู่ควรพอที่จะไปให้ถึงสู่ปลายทางแห่งความสำเร็จ หลาย ๆ คนล้มเหลวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะพยายามต่อ เพราะเขาเชื่อว่าทุกครั้งที่พยายามความสำเร็จก็จะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และสามารถคว้าความสำเร็จนั้นมาไว้ได้อย่างแน่นอนข้อมูอ้างอิงhttps://www.verywellmind.com/when-do-your-mental-powers-peak-2795033https://knowledge.wharton.upenn.edu/article/do-good-things-come-to-late-bloomers/https://www.psychologytoday.com/us/articles/200811/confessions-late-bloomerเครดิตภาพภาพประกอบที่ 1 : ภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay >>> link ภาพภาพประกอบที่ 2 : ภาพโดย TeeFarm จาก Pixabay >>> link ภาพภาพประกอบที่ 3 : ภาพโดย Eluj จาก Pixabay >>> link ภาพภาพประกอบที่ 4 : ภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay >>> link ภาพภาพหน้าปก : ภาพโดย Free-Photos จาก Pixabay >>> link ภาพ