หากติดตามข่าวสารจากเฟซบุ๊ก เพจต่าง ๆ หรืออยู่ในแวดวงร้านตัดผมชาย ทั้งบาร์เบอร์และวินเทจ ช่วงนี้ก็คงได้เห็นการรีวิว หรือมีการพูดถึง บอกต่อว่า ใบมีดโกน Hoffman ใช้ดีอย่างไรกันมากเป็นพิเศษ โดยที่ไม่มีการซื้อโฆษณาแต่อย่างใดจากผู้ผลิต เพราะใบมีดโกนแบรนด์นี้ เป็นสินค้าของคนไทย และเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีใบมีดโกนเป็นแบรนด์ของคนไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างมาก เรามีโอกาสได้พบกับ คุณนรินทร เจ๊ะหมัด ซึ่งรู้จักกันดีในนาม บังลิค ฮิปสเตอร์ เจ้าของร้าน Hipster Barber Shop ผู้ผลิต ใบมีดโกน Hoffman มาให้คนไทยได้ใช้กัน ในราคาที่ไม่ว่าจะเป็นร้านทำผมแนวไหนก็สามารถมีไว้บริการลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผมของผู้ชาย ภายใต้ชื่อ Hoffman อีกหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือเรื่องราวของ บังลิค ที่กว่าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ เส้นทางผ่านปัญหา ผ่านอุปสรรคมาอย่างมากมายย้อนช่วงเวลากลับไปไม่นานนัก ช่วงแรกที่ ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งรัฐบาลไทยสั่งล็อกดาวน์ประเทศเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ธุรกิจหลาย ๆ อย่างต้องปิดให้บริการ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจร้านทำผม ร้านเสริมสวยทั้งหมดต้องหยุดลง เพราะผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการมีความใกล้ชิดกัน มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่ายหากคนใดคนหนึ่งได้รับเชื้อมา ร้าน Hipster Barber Shop ของ บังลิค มี 9 สาขา หยุดทั้งหมดเช่นกัน"การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สอนอะไรให้ชีวิตมากมายเลยครับ สอนให้เราไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะในอนาคตเราไม่รู้ว่าจะมีโรคอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง จะต้องย้อนกลับไปเจอเหตุการณ์แบบเดิมหรือเปล่า ช่วงเวลานั้นร้านตัดผมทุกร้านต้องหยุดทันที ทุกคนประสบปัญหาเดียวกันหมด ไม่มีใครตั้งตัวทันครับ ต้องแบกรับปัญหาและต้องหาทางแก้ปัญหากันทั้งนั้น ร้านผมเป็นร้านหนึ่งที่มีสาขาเยอะ มีลูกน้อง 34 คน ในช่วงเวลานั้น เราต้องดูแลลูกน้องให้อยู่ได้ในช่วงที่ไม่มีงาน ต้องคุยกับเจ้าของตึกที่เราเช่าทำร้านเพราะร้านต้องปิด รายได้เป็นศูนย์บาท แต่เรายังมีภาระต้องจ่ายค่าเช่าร้าน ดังนั้นต้องขอความช่วยเหลืออย่างตรงไปตรงมา ทำให้บางเจ้าไม่เก็บค่าเช่าร้าน บางเจ้าลดค่าเช่าให้ บางเจ้าไม่ได้ลด เพราะเขาไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งได้แค่ไหน ตรงจุดนี้เราก็เอาแค่นั้น และประคองเพื่อรอเวลา กว่าจะผ่านมาได้ แต่ก็ผ่านมาแล้วครับ ผมยังรักษาร้านทั้งหมดไว้ได้ และวันนี้แต่ละร้านก็ได้ทำหน้าที่ดูแลลูกค้ากันอีกครั้ง" ร้าน “Hipster Barber Shop” 9 สาขาด้วยกัน...สาขา 1 หนองจอก ตรงข้ามโรงพัก หนองจอกสาขา 2 ตลาดมีนบุรี หน้าอู่รถเมล์ในตลาดมีนบุรีสาขา 3 นิคมลาดกระบัง ปากซอยฉลองกรุง 28สาขา 4 ถนนฉลองกรุง 29 นิคมอุตสาหกรรมลาดกะบังสาขา 5 เคหะร่มเกล้า ปากซอยเคหะร่มเกล้า 17สาขา 6 สาขา ลาดกระบัง1/12 หน้าโรงแรมโกเด้นเจตสาขา 7 ตลาดบวร เคหะร่มเกล้าสาขา 8 วัดปากบึง เป็นโรงเรียนสอน ที่รับตัดผมลูกค้าด้วยสาขา 9 สาขาคุ้มเกล้า ลาดกระบังร้าน Hipster Barber Shop เป็นร้านทรงผมแนว "วินเทจ" หรือเรียกง่าย ๆ คือ "แนวย้อนยุค" เป็นแนวที่ได้รับความนิยมอย่างมากของบรรดาหนุ่ม ๆ และร้านนี้ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก จึงไม่แปลกเลยเมื่อมีการขยายสาขาต่อ ๆ มา แล้วได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ใครอยู่ใกล้สาขาไหน ไปสาขานั้น และไม่เคยผิดหวังเมื่อก้าวออกจากร้าน เพราะการตัดผมสไตล์วินเทจ แตกต่างจากทรงธรรมดาทั่วไป มีความเป็นศิลปะ มีการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เข้ากับรูปทรงของศีรษะ ลักษณะเส้นผม บุคลิกและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ ก่อนที่จะมีร้านสาขาแรก บังลิค ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาเป็นช่างตัดผม เส้นทางสายนี้ไม่ได้อยู่ในความคิด เพราะใช้ชีวิตไปตามสถานการณ์ชีวิตที่ดำเนินไป"ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ยังเรียนปวช. น้าของผมทำงานอยู่ที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่ง ที่ผลิตนิตยสารหลาย ๆ ฉบับ เห็นว่าผมอยากมีรายได้ก็เลยชวนมาทำงานเป็นพนักงานในส่วนของโรงพิมพ์ ทำตั้งแต่เป็นเด็กติดรถไปส่งหนังสือต่างจังหวัด พอขับรถเป็นก็ขยับมาขับรถ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนสนุกกับการเรียนรู้ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งหนังสือ ก็ขยับมาเป็นเซลล์ต่างจังหวัด และมาเป็นฝ่ายการตลาดในที่สุด เข้าใจเกี่ยวกับงานด้านการตลาดทุกอย่าง ผมทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยกระทั่งเรียนจบ ก็ยังคงทำงานมาเรื่อย ๆ รวมเวลา 14 ปี" ช่วงเวลาหลาย ๆ ปีของการทำงานในหน้าที่เดิม ๆ บังลิค เริ่มไม่สนุกกับงานที่ทำ เพราะหมดความท้าทายกับการทำงานซ้ำเดิมอยู่ทุกวัน และเริ่มตระหนักได้ว่ารายได้ไม่พอกับรายจ่าย และถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไปก็จะไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ สิ่งที่จะเป็นอนาคตได้จริง ๆ ก็คือการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วธุรกิจนั้นคืออะไรล่ะ ? นั่นคือสิ่งที่เริ่มถามตัวเอง"ผมมองหาอาชีพที่เราจะเป็นนายของตัวเอง และวันหนึ่งก็เห็นว่าอาชีพช่างตัดผมน่าสนใจ เพราะเป็นอาชีพที่ติดตัวเรา ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ทำอาชีพนี้ได้ ในประเทศไทย ในต่างประเทศ ไปได้หมดทุกที่ และเป็นการทำงานที่ทำในห้องแอร์ด้วย แล้วผมก็เปรียบเทียบอาชีพช่างตัดผม กับอาชีพที่ทำอยู่ อย่างเราเงินเดือน 12,000 บาท เฉลี่ยวันละ 400 บาท ถ้าเราตัดผมหัวละ 100 บาท 4 หัว ก็ได้เงินเท่ากับทำงานบริษัทแล้ว เมื่อคิดอย่างนี้ ผมก็เลยไปเรียนตัดผม ใช้เวลาช่วงวันหยุดงานไปเรียน แล้วก็เริ่มหารายได้จากการตัดผม แต่ช่วงแรกผมรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ สิ่งที่ทำมันไม่ใช่สไตล์เราเลย กระทั่งวันหนึ่งมาเจอไอดอลของการตัดผม พี่ช่างตัดผมคนนี้เขาตัดผมสไตล์วินเทจ ตัดผมหัวละ 300-400 บาท เขาตัด 1 หัว เท่ากับเราทำงาน 8 ชั่วโมง ที่สำคัญผมรู้สึกด้วยว่าสไตล์วินเทจนี่แหละที่ท้าทายความสามารถ เป็นสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ผมจึงขอไปเป็นลูกศิษย์เขา"ด้วยความุ่งมั่นตั้งใจ ค้นหาจนเจอแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่อยากทำจริง ๆ บังลิค จึงเรียนรู้อย่างตั้งใจ มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์เก่ง ๆ หลาย ๆ คน ที่แบ่งปันเทคนิคในการตัดผมให้ ฝึกจนกระทั่งชำนาญ ได้ไปทำผมในร้านสไตล์วินเทจที่ร้านในตลาดรถไฟศรีนครินทร์ กระทั่งมีลูกค้าติดใจในฝีมือ กลายมาเป็นลูกค้าประจำ และการตัดสินใจครั้งสำคัญก็มาถึง"วันที่ผมมีลูกเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมเข้าสู่อาชีพนี้จริง ๆ ผมทำงานอยู่ที่ทองหล่อ บ้านอยู่หนองจอกขับรถมาทำงานวันละ 2 ชั่วโมงทุกวันเหนื่อยมาก บางครั้งเลิกดึก เลยตัดสินใจเช่าห้องอยู่กับเพื่อน กลับบ้านไปเจอหน้าลูกอาทิตย์ละครั้ง ก็คิดว่ามันไม่ใช่ล่ะ จะทำยังไงถึงจะได้อยู่กับครอบครัว ทำยังไงถึงจะอยู่รอดเพราะผมมีเงินเก็บแค่แสนเดียว เพราะฉะนั้นต้องรอบคอบในการใช้เงิน ผมตัดสินใจที่จะเปิดร้านทำผมแถว ๆ บ้าน ก็มองหาทำเล จนได้ร้านที่ทำเลดี ค่าเช่าไม่แพง ที่สำคัญช่างตัดผมสไตล์วินเทจแถวนั้นไม่มี วันแรกที่ตัดมีรายได้ 700-800 บาท ดีใจมากครับ เพราะเกินความคาดหมายแล้ว ด้วยความที่มีลูกค้าเก่า กับมีน้องที่เรียนตัดผมมาด้วยกันมาช่วย ทำให้ร้านดีขึ้นเรื่อย ๆ ลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ" ช่องทางการติดต่อระหว่าง บังลิค กับลูกค้าและเพื่อนร่วมอาชีพคือ เฟซบุ๊ก จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะแจ้งข่าวร้านในทุก ๆ ด้าน และเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การเพิ่มสาขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้การตัดสินใจที่รอบคอบตลอดเวลา"ร้านได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่วันแรกของการเปิดร้าน เดือนแรกมีรายได้หลักแสนเข้าร้าน ผมก็ประกาศผ่านเฟซบุ๊กชวนเพื่อนที่เป็นช่างอยู่ในละแวกนั้นให้มาร่วมงานกับเรา จากที่เขาเคยตัดผมหัวละ 60 บาท ผมทำให้เขามีรายได้มากขึ้นกว่าที่เขาเคยทำได้ ผมสอนในสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ว่าตัดผมสไตล์นี้ต้องทำยังไงจนเขาสามารถทำได้ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้ทุกคนมีความชำนาญขึ้น เมื่อช่างพร้อม ผมก็ตัดสินใจขยายสาขา ด้วยการมาเปิดสาขาที่ตลาดมีนบุรีซึ่งเป็นตลาดเก่า 100 ปี และขยายสาขามาเรื่อย ๆ ตัวผมเองเป็นช่างด้วย และเป็นคนสอนช่างใหม่ ๆ ด้วย เราทำงานอย่างเป็นระบบ Hipster Barber Shop จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า และสามารถขยายสาขาไปได้"ด้วยความเป็นช่างตัดผม ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของเส้นผมของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา บังลิค จึงตัดสินใจผลิตผลิตภัณฑ์เซ็ตผมผู้ชาย ที่ใช้กับผมของคนไทย ภายใต้ชื่อแบรนด์ หนุมาน Hoffman pomade"ครีมเซ็ทผม Hoffman ใช้วัตถุดิบจากเยอรมันและอเมริกา หรืออย่างกลิ่นน้ำหอมที่ใช้มาจากฝรั่งเศส เป็นแบรนด์คนไทยที่ใช้วัตถุดิบที่ดีมาก แต่ขายในราคาคนไทย ผมตัดสินใจทำผลิตภัณฑ์เอง เพราะแบรนด์เมืองนอกไม่สามารถตีโจทย์ลูกค้าคนไทยได้ ผมคนไทยตัดยากกว่า เส้นใหญ่กว่าหยักโศกกว่า และสภาพภูมิอากาศก็แตกต่างจากต่างประเทศ ดังนั้น Hoffman ไม่เหมือนกับครีมเซ็ทผมที่มีอยู่ในตลาด เรามีการพัฒนาสูตรมาเรื่อย ๆ โดยดูจากความต้องการของลูกค้า เริ่มแรกก็คือทำเพื่อที่ร้านของเรา ไม่ได้ขายข้างนอก แต่เพราะมีน้อง ๆ โพสในเฟซบุ๊ก เล่าถึงสินค้าว่าดียังไง ทำให้มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วช่างทำผมสายบาร์เบอร์ สายวินเทจ ในประเทศเราก็เป็นพี่น้องกันหมด จึงมีการบอกต่อกัน มีการสั่งซื้อไปใช้ที่ร้าน ลูกค้าใช้แล้วชอบก็ซื้อต่อ บอกต่อไปอีก สินค้าก็เลยกระจายไปทั่วประเทศ แล้วจำนวนสินค้าก็หลากหลายขึ้น เพื่อให้ตรงกับความเหมาะสมกับผมของลูกค้า"บังลิค ดูแลลูกค้าทั้งในเรื่องของ ผลิตภัณฑ์บำรุงผม ทั้งยังให้ความสนใจ อุปกรณ์ในการทำผม และมองเห็นว่า ใบมีดโกน เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับช่างตัดผม สำหรับลูกค้า จึงตัดสินใจผลิต ใบมีดโกน Hoffman ขึ้นมา การตัดสินใจครั้งนี้จึงนับได้ว่า ใบมีดโกน Hoffman เป็นแบรนด์ใบมีดโกนแบรนด์แรกของคนไทย ! "ใบมีดโกน เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับทุก ๆ ร้าน ใบมีดโกน 1 ใบ สามารถหักได้เป็น 2 ท่อน ใช้งานได้กับลูกค้า 2 คน เราต้องเปลี่ยนใบมีดโกนทุกครั้งที่ตัดผม คุณภาพของมีดโกนในตลาดที่เราใช้ในระยะหลังบางครั้งใช้งานได้แค่ลูกค้าคนเดียว เพราะไม่คมพอ คุณภาพไม่ดีพอ ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ผมเป็นช่างตัดผม ผมรู้ว่าผมอยากได้ใบมีดโกนแบบไหนมาใช้งาน ดังนั้นใบมีดโกนที่ผมคิดค้นออกมา ใบหนา คมนาน หนึ่งซีกสามารถจบงานได้เลย ในส่วนของการผลิต ผมใช้โรงงานที่ดี ใช้สแตนเลทที่ดีจากต่างประเทศ มีความคมเพียงพอ มีคุณภาพที่ดีพอ ช่างสามารถจบงานด้วยใบมีดท่อนเดียวต่อลูกค้า 1 คน" "ใบมีดโกน Hoffman เป็นใบมีดที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงและที่สำคัญเป็นของคนไทย ผมประกาศขายไปเพียง 2 วันก็มีผลตอบรับมากมาย ผมสั่งสินค้ามาล็อตแรก ตั้งใจว่าจะใช้โปรโมทในช่วง 2 เดือนนี้ จากกล่องละ 120 บาท ผมขาย 100 บาท เพื่อให้ทดลองใช้กัน แต่กลายเป็นว่า แค่ 2 วัน สินค้าหมด ซึ่งเกินความคาดหมายมาก และการขายของผมในช่วงแรก เป็นลักษณะแบ่ง ๆ กันลองใช้ก่อน ไม่ได้ขายครั้งละเป็นลัง ๆ บางคนสั่ง 10 ลังก็ยังให้ไม่ได้ ต้องรอรอบต่อไป" บังลิค มองว่า ใบมีดโกน แต่ละแบรนด์ ต่างก็ตอบโจทย์ลูกค้าที่แตกต่างกัน ใบมีดโกน Hoffman ที่ผลิตขึ้นมา ต้องการตอบโจทย์ลูกค้าเช่นกัน ดังนั้นจะตอบโจทย์ได้หรือไม่ก็ต้องทดลองกันก่อน ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้มีการรีวิวการใช้มีดโกน Hoffman ในเฟซบุ๊ก ในเพจต่าง ๆ มากมาย เพื่อตอบคำถามของ บังลิค ที่ถามว่า คุณภาพเป็นที่พอใจไหม พอใจกับราคานี้ไหม เป็นปรากฏการณ์การรีวิวใบมีดโกนจากช่างทำผมจำนวนมาก อย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งทุกคนถูกใจกับสินค้า ถูกใจกับราคา เพราะไม่เพียงแต่จะผลิตสินค้าให้ถูกใจทุกคนแล้ว บังลิค ยังต้องการช่วยให้ร้านตัดผมได้ใช้สินค้าดีในราคาที่ถูกลง การใช้สินค้า Hoffman รวม ๆ กันแต่ละเดือน ช่างจะประหยัดต้นทุนโดยที่ลูกค้าจะได้รับสิ่งดี ๆ กลับไปเช่นกัน และเพื่อดูแลลูกค้าให้ใกล้ชิดขึ้น บังลิค เปิดรับสมาชิก เพื่อขายผลิตภัณฑ์ Hoffman รวมทั้ง ใบมีดโกน ในราคาสมาชิก เพื่อให้ช่างตัดผมได้ประหยัดมากขึ้นไปอีก สามารถติดตามข่าวสารได้ทาง >>> Hoffman Pomade Thailand ภาพประกอบโดย ฉันท์ชมา ผู้เขียน