อินเดีย...ประเทศที่ไม่เคยอยู่ในลิสต์ ไม่เคยอยู่ในหัวเลย เพราะภาพที่คิดไว้ของอินเดีย คือ ไปแล้วต้องลำบากแน่นอน แต่หลังจากอ่านรีวิวของบล็อกเกอร์สายเที่ยวทั้งหลาย ก็เลยรู้สึกว่า อินเดียต้องมีอะไรดี ๆ แน่นอน และเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ควรต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้งหนึ่ง หลังจากวางแผนเก็บข้อมูลเป็นปี เราตัดสินใจไปเที่ยวทั้งหมด 3 เมือง คือ เมืองจัยปูร์ เมืองจ๊อดปูร์ และเมืองอัครา โดยใช้เวลาทั้งหมด 8 วัน ด้วยกันเช่ารถยนต์พร้อมคนขับส่วนตัว เพราะค่อนข้างสะดวกสบายมากกว่า และปลอดภัยมากกว่าเดินทางเอง เพราะถนนหนทางค่อนข้างขับยากพอสมควร สำหรับอากาศเราไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ อากาศเย็นสบายถึงค่อนข้างหนาว โดยตอนเช้าและกลางคืน อุณหภูมิจะเป็นเลขตัวเดียว แต่ช่วงสายถึงเย็นอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20 - 25 องศา และแดดค่อนข้างแรงพอสมควร ฉะนั้น เตรียมหมวกกับแว่นตากันแดดให้พร้อมเลย เริ่มต้นเมืองแรกกันที่นครสีชมพู ( Pink city) หรือเมืองชัยปุระ หรือจัยปูร์ หรือจัยเปอร์ มีหลายชื่อให้เรียกเลย แต่เราขอเรียกว่าเมืองจัยปูร์ตามคนขับรถของเราแล้วกัน สำหรับเมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งพอสมควร ซึ่งจุดเช็คอินสำคัญ ๆ ที่นักท่องเที่ยวสายถ่ายรูปทั้งหลายต้องแวะมาเก็บภาพ คงหนีไม่พ้นพระราชวังสายลม ( Hawa Mahal) ที่ตัวอาคารสร้างด้วยหินทรายมีสีออกแดงส้ม ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน เราสามารถขึ้นไปนั่งที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามเพื่อถ่ายรูปได้ เดินจากพระราชวังสายลมมาไม่ไกลก็จะเจอกับ City Palace of Jaipur พระราชวังที่ด้านในมีความสวยงามมาก ซึ่งจุดไฮไลท์ของที่นี่คือห้องสีฟ้า และซุ้มประตูสี่บาน สี่ฤดู หลังจากเดินเที่ยวจนทั่วพระราชวังแล้ว เราก็ให้คนขับพาไปอีกที่หนึ่งก่อนกลับโรงแรม เป็นประตูสีชมพูสวยงาม เรียกว่า Patrika Gate เป็นจุดไฮไลท์อีกแห่งที่ต้องไปเก็บภาพ ถ้าระหว่างถ่ายรูปแล้วรู้สึกว่ามีคนจับจ้องอยู่ หรือมีคนเดินมาขอถ่ายรูปก็ไม่ต้องตกใจกัน เพราะเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ เค้าชอบถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนเอเชียอย่างเรา สำหรับที่เที่ยวเมืองจัยปูร์ค่อนข้างมีหลายที่มาก ถ้าอยากเที่ยวให้ครบก็ต้องนอนที่เมืองนี้หลายคืน แต่เนื่องจากเรามีเวลาที่เมืองนี้เพียงสองวัน ก็เลยเลือกเที่ยวเฉพาะที่สำคัญ และเรายังมีอีกสองพระราชวังสำคัญที่ต้องไปเยี่ยมชม นั่นคือ Amber Fort และ Jal Mahal แอมเบอร์ฟอร์ท ( Amber Fort ) เป็นป้อมปราการ ที่อยู่ห่างจากเมืองจัยปูร์มาประมาณ 10 กิโลเมตร มีความยิ่งใหญ่และสวยงามมาก ภายในป้อมมีพระราชวังแอมเบอร์ และมีตำหนักต่าง ๆ ซึ่งการเดินทางเข้าไปยังป้อมนั้น สามารถนั่งรถจีปหรือขึ้นช้างก็ได้ แต่ถ้าอยากเก็บภาพไปเรื่อย ๆ สามารถเดินขึ้นไปได้เช่นกัน ก่อนเดินทางไปอีกหนึ่งป้อมปราการที่วิวพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด เราแวะไปที่พระราชวังกลางน้ำ หรือ Jal Mahal กันก่อนเพื่อเก็บภาพ เราเดินทางมาถึง Nahargarh Fort ก่อนอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้ายามเย็นที่นี่สวยจริง ๆ แม้แต่คนอินเดียเองก็ยังมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดินกัน การเดินทางข้ามเมืองได้เริ่มขึ้นในวันที่สามของการมาอินเดีย เรานั่งรถไปเมืองจ๊อดปูร์ (Jodhpur) เมืองสีฟ้า หรือ Blue City เพราะที่นี่มีย่านเก่าแก่ที่บ้านเรือนเป็นสีฟ้าทั้งหมด ซึ่งเราสามารถมองเห็นเมืองสีฟ้าได้จากมุมสูงอย่างบนป้อมปราการ อย่าง Mehrangarh Fort เราใช้เวลาเดินทางมาถึงเมืองจ๊อดปูร์ ประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง นั่งฟังเสียงแตรรถยนต์มาตลอดทาง การมาอินเดียสิ่งที่ต้องทำใจให้ได้คือเสียงแตร เพราะเราจะได้ยินตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่แน่นอน สำหรับที่เที่ยวหลักของเมืองนี้ คงไม่พ้นการเดินเล่นย่าน Old Town และป้อมปราการที่สวยอีกแห่งหนึ่งอย่าง Mehrangarh Fort ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองอัครา เพื่อไปดูหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างทัชมาฮาล เราแวะไปที่ Toorji ka jhalra Step well บ่อน้ำเก่าแก่ที่พบเห็นได้ที่อินเดีย สำหรับเมืองนี้ถ้ามาพักค้างคืนแถวย่านเมืองเก่า รถยนต์คันใหญ่จะไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะตรอกซอกซอยค่อนข้างแคบ เราจึงต้องอาศัยนั่งรถตุ๊กตุ๊กในการเที่ยวถ่ายภาพตามตรอกซอยต่าง ๆ มาต่อกันที่เมืองสุดท้าย เมืองอัครา ( Agra) destination หลักของการเดินทางครั้งนี้ คือการได้มาเห็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก การได้มาเห็นด้วยตาตัวเองครั้งนี้ ประทับใจกับความยิ่งใหญ่อลังการของทัชมาฮาล ยิ่งเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง การมาเที่ยวที่นี่ต้องมาแต่เช้ามืด เพราะมาสายคนก็ยิ่งเยอะ และมีความเบียดเสียดกันพอสมควร วันที่เราไปอากาศค่อนข้างขมุกขมัว ท้องฟ้าไม่โปร่งใส เพราะแดดเริ่มออกประมาณเกือบ 11 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องเดินทางกลับแล้ว สำหรับการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ามากจริง ๆ การได้ออกจาก comfort zone ทำให้เรารู้ว่าโลกนี้ยังมรสถานที่สวย ๆ ให้เราได้เห็นได้สัมผัสอีกมากมาย การมาอินเดียครั้งแรกมันไม่ได้แย่อย่างที่คิด อาหารก็ทานได้ไม่ลำบาก ที่พักสะอาดค่อนข้างดีเลยทีเดียว ต้องลองมาเองซักครั้งแล้วจะติดใจเหมือนที่เราอยากไปอีกเป็นครั้งที่สองถ้ามีโอกาส เล่าเรื่องและถ่ายภาพโดยผู้เขียนทั้งหมด