จากปัญหา COVID - 19 ในปัจจุบันซึ่งส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตในหลาย ๆ ด้าน และสิ่งหนึ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ในครั้งนี้คือการปรับระบบการศึกษาบางส่วนให้เป็นการศึกษาทางระบบออนไลน์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ก็มีผู้ที่แสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย ทั้งการไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้อย่างแท้จริงหรือคำถามที่ว่าการแก้ไขในปัญหาด้วยวิธีการนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดแล้วจริงหรือ จากสถานการณ์นี้เองทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์สุดซึ้งแสนอบอุ่นหัวใจเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของคุณครูสาวสุดสวยคนหนึ่งซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง Beyond the blackboard เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของ Stacey Bess ( รับบทโดย Emily VanCamp ) หญิงสาวสุดสวยที่ตัดสินใจเป็นคุณครูและได้สอนที่โรงเรียนสำหรับเด็กที่ไร้บ้าน ( Homeless ) จะเรียกว่าเป็นโรงเรียนก็แทบจะไม่ได้เนื่องจากพื้นที่สำหรับการเรียนรู้นั้นมีจำกัดและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยกับการศึกษาสักเท่าไหร่ ภายในชั้นเรียนก็ประกอบไปด้วยเด็กที่มีอายุแตกต่างกัน เธอจะทำอย่างไรกับปัญหาทางการศึกษานี้ และที่ Stacey จะได้ไปสอนนั้น เป็นโปรแกรมการสอนใหม่สำหรับเด็กที่ไร้บ้าน สถานที่สำหรับการสอนเป็นเพียงห้องห้องหนึ่งในโกดังซึ่งเป็นเขตที่พักอาศัยของผู้คนไร้บ้านทั้งหลาย ทุกคนต้องอาศัยและใช้ชีวิตรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้ บ้างนอนในรถ บ้างนอนในตู้คอนเทนเนอร์ ในช่วงเช้าเด็ก ๆ จะต้องมารวมตัวกันเพื่อศึกษาเล่าเรียน ในขณะที่ผู้ปกครองบางคนที่ไม่มีงานทำจะมานั่งเล่นบริเวณห้องโถงของโกดังซึ่งอยู่ใกล้กับห้องเรียน เนื่องจากเป็นโปรแกรมการสอนใหม่ทำให้การแก้ปัญหายังไม่สามารถเข้าถึงได้ดีเท่าที่ควร อุปกรณ์หลักของการเรียนการสอนอย่างเครื่องเขียนหรือหนังสือประกอบการเรียนก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ Stacey ได้แก้ปัญหาทีละจุด หนึ่งในนั้นคือ Parent Teacher Meeting ( PTM ) หรือการประชุมของคุณครูร่วมกับผู้ปกครองเพื่อให้ผู้ปกครองตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมการศึกษาที่ดีของบุตรหลานก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างถูกจุดเช่นกัน เช่นเดียวกับคำพูดแบบปากต่อหูที่เรามักจะได้ยินกันว่า “ ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน ” ผู้ปกครองสามารถสนับสนุนบุตรหลานเกี่ยวกับการศึกษาได้ ไม่เพียงเฉพาะในเวลาเรียนเท่านั้น แต่เวลาในครอบครัวก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางการศึกษาได้เช่นกัน แต่ปัญหาบางอย่างก็เป็นอุปสรรคสำคัญ อย่างที่ในเรื่องได้ยกตัวอย่างของผู้ปกครองที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ่าน ( Trouble Reading ) ซึ่งผลที่ตามมาอาจทำให้การศึกษาระหว่างบุตรและผู้ปกครองไม่ราบรื่นเท่าที่ควรและอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่นั้น ปัญหาในมุมมองของเด็กนักเรียนแต่ละคนของ Stacey ก็เป็นที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน อย่างปัญหาทางครอบครัวของเด็กนักเรียน ทั้งเด็กที่ต้องแยกจากผู้ปกครองเพราะปัญหาเรื่องที่พักอาศัย เด็กที่ผู้ปกครองมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันเนื่องจากพื้นฐานการศึกษาไม่แข็งแรง หรือเด็กที่เคยมีปัญหากับผู้ปกครองจนเกิดเป็นปมภายในจิตใจ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก ต้องขอบคุณบริษัท Hallmark Hall of Fame Productions ที่ได้นำเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงสุดประทับใจขึ้นสู่จอภาพยนตร์ให้เราได้รับชม ในส่วนของเนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ค่อย ๆ คลายปมปัญหาไปเรื่อย ๆ และจบอย่างอบอุ่นหัวใจ ชวนให้ติดตามได้ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงตอนจบ ฉากที่ผมรู้สึกประทับใจมากที่สุดคงจะเป็นฉากที่ผู้ดูแลโครงการโปรแกรมการสอนใหม่สำหรับเด็กที่ไร้บ้านได้ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือตามที่ Stacey ได้ร้องขอไว้ เพราะผมรู้สึกว่าบางครั้งหากเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ ของผู้ที่ประสบปัญหาจริง ๆ เราจะไม่สามารถเข้าใจในปัญหาของคนคนนั้นได้ และทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่ผมชื่นชอบอีกอย่างคือการที่ได้นักแสดงสาวสุดสวยมากความสามารถอย่าง Emily VanCamp มาเป็นนักแสดงนำ ซึ่งเคยรับบทนำในภาพยนตร์และซีรีส์อีกหลายเรื่อง เช่น ซีรีส์เกมแค้นแผนพยาบาท ที่เคยฉายทางช่อง7 และภาพยนตร์ Captain America: Civil และ Captain America: The Winter Soldier ผมคงต้องขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้ หากท่านใดรับชมแล้วรู้สึกอย่างไรสามารถแสดงความคิดเห็นกันได้เลยนะครับ ขอขอบคุณภาพประกอบบทความแบบออริจินัลภาพประกอบที่ 1ภาพประกอบที่ 2ภาพประกอบที่ 3ภาพประกอบที่ 4ภาพประกอบที่ 5จากเว็บไซต์ IMDb , Hallmark Hall of Fame