สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกคนด้วยนะครับ ผม Kakommz ในวันนี้จะมารีวิวหนังสือเล่มใหม่ที่ได้อ่านจบไปสักพักหนึ่งแล้ว และรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังหาวิธีในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง ธุรกิจ และทีม ให้เก่งมากขึ้น โดยหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า SUPER PRODUCTIVE เขียนโดย คุณ รวิศ หาญอุตสาหะ ซึ่งเป็นเจ้าของเพจ Mission to the Moon ที่มีผู้ติดตามมากมายและยังเป็นซีอีโอของ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด อีกด้วยครับ และเนื้อหาคร่าวๆ ที่ผมได้หยิบยกมาบางส่วนจากหนังสือที่ดีเยี่ยมอีกหนึ่งเล่มนี้จะเป็นอย่างไร สามารถรับชมพร้อมกันได้เลยครับโดยหนังสือเล่มนี้ คุณ รวิศ ได้ทำการแบ่งหมวดหมู่ในการอธิบายเป็น 3 หมวดใหญ่ คือ 1. จัดการตัวเอง 2. จัดการธุรกิจ และ 3. จัดการทีม และต้องขออนุญาตบอกก่อนว่า ในแต่ละหัวข้อนั้น คุณ รวิศ มีการบอกเล่าถึงวิธีการพัฒนาในแต่ละด้านได้อย่างละเอียด แต่ว่าถ้าจะให้เล่าทั้งหมด เขียนกี่สิบหน้าก็ไม่เพียงพออย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ จึงขออนุญาต เลือกหัวข้อที่แอดสนใจ มาเล่าให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับชมกันนะครับ โดยจะมีหัวข้อดังต่อไปนี้จัดการตัวเองในหมวดนี้ จะเป็นการอธิบายถึงการจัดการตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเอง มีความกล้าและความชำนาญในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น และจึงขอยกตัวอย่างในหมวดนี้จากหัวข้อ "ถ้าคิดจะทำอะไรใหม่ๆ อย่าคิดเยอะ" มาเป็นตัวอย่างในการอธิบายถึงหมวดการจัดการตัวเองให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจมากขึ้นครับ- ถ้าคิดจะทำอะไรใหม่ๆ อย่าคิดเยอะ (เนื้อหาจากหน้าที่ 16-21)ในหัวข้อนี้ คุณ รวิศ ได้อธิบายถึงการจัดการตัวเองโดยการทำอะไรใหม่ๆ ครับแต่แน่นอนว่า ทุกอย่างที่เราทุกคนคิดเริ่มต้นที่จะทำ ในช่วงแรก ทุกคนจะต้องฟิตหรือใส่พลังงานไปกับสิ่งที่อยากจะทำอย่างเต็มที่ แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เราอาจจะมีอาการ burnout (คืออยากเลิกทำ เพราะเกิดอาการเบื่อหรือขี้เกียจกับสิ่งที่ทำให้มันรู้แล้วรู้รอดไป) นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ถ้าผู้อ่านที่กำลังทำสิ่งใดสักอย่างแล้วเกิดอาการ burnout คุณ รวิศ ได้ให้คำแนะนำว่า อยากให้คุณทุกคนสู้ๆ และทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ต่อไปครับ (ไม่ต้องคิดเยอะ) เพราะบางที แค่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายและลงมือทำ อาการ burnout มันจะหายไปเองแน่นอนอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการทำสิ่งใหม่ๆ ที่คุณ รวิศ แนะนำ คือ "วินัย" แต่ว่าวินัยในที่นี้ ไม่ใช่การทำซ้ำไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการพัฒนา แต่เป็นการทำสิ่งต่างๆ โดยมีความคิดที่จะพัฒนาหรือนำไปต่อยอดตลอดเวลา ดังนั้น วินัยจึงประกอบไปด้วย 1. วินัยทางกาย คือ ทำสม่ำเสมอ และ 2. วินัยทางความคิดหรือวินัยในการเรียนรู้ คือ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำๆ ไป แต่ทุกครั้งที่ทำต้องคิดด้วยว่า จะทำยังไงให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้บ้างนั่นเองเหมือนอย่างที่นักธุรกิจและนายธนาคารระดับตำนานอย่าง เจ.พี. มอร์แกน (J.P. Morgan) ที่เคยกล่าวไว้ว่า"The first step towards getting somewhere is to decide you're not going to stay where you are." "จุดเริ่มต้นของการจะไปที่ไหนสักแห่ง คือการตัดสินใจจะไม่อยู่ในที่เดิมที่คุณอยู่"จัดการธุรกิจในหัวข้อนี้ จะเป็นการอธิบายถึงวิธีการจัดการธุรกิจ ที่คุณ รวิศ ได้อธิบายถึงวิธีการดูแลธุรกิจ ตั้งแต่จุดเล็กไปยังจุดใหญ่ ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับองค์กร ให้มีระเบียบแบบแผนและวางโครงสร้างความสำคัญอย่างดีเยี่ยม เพื่อการนำพาธุรกิจไปยังเป้าหมายที่หวังไว้ โดยขอยกตัวอย่างจากหัวข้อ "วัฒนธรรมองค์กรวัดค่าอย่างไร" มาเป็นหลักในการอธิบายคร่าวๆ ถึงวิธีการจัดการธุรกิจครับ- วัฒนธรรมองค์กรวัดค่าอย่างไร (เนื้อหาจากหน้าที่ 154-159)ในหัวข้อนี้ ได้อธิบายถึงการวัดค่าวัฒนธรรมองค์กร ที่เปรียบเสมือนการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่งเพื่อที่จะค้ำจุนธุรกิจขององค์กรนั้นๆ ให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้น โดย คุณ รวิศ ได้อ้างอิงข้อมูลจาก Harvard Business Review ซึ่งอธิบายไว้ว่า แรงจูงใจในวัฒนธรรมองค์กร มีอยู่ทั้งหมด 6 สิ่งด้วยกัน ซึ่ง 3 สิ่งแรกเป็นแรงจูงใจที่ดี ส่วนอีก 3 สิ่งหลังเป็นแรงจูงใจแบบ hidden motivation หรือแรงจูงใจทางอ้อมที่ถ้าเราไม่รู้และนำมันไปใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรจะอันตรายมากๆ นั่นเองโดยขออนุญาตเรียกวิธีที่กล่าวไปข้างต้น (ตามที่เข้าใจ) ว่า 3P สำหรับแรงจูงใจที่ดี และ 2E กับ 1I สำหรับแรงจูงใจทางอ้อม (ไม่ดี) ครับ 3P สำหรับแรงจูงใจที่ดี มีดังนี้- Play culture (วัฒนธรรมการเล่น)ทำให้เรามาทำงานงานแล้วรู้สึกสนุก ทำให้เราอยากรู้ ช่างสงสัย อยากทดลอง ให้มีความรู้สึกเหมือนตอนเข้าทำกิจกรรมที่เราชอบ ถ้าเราทำให้งานสนุกได้ คนจะรู้สึกอยากมาทำงาน อยากทดลอง อยากทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา- Purpose (จุดประสงค์) สิ่งที่ทำอยู่อาจจะเหนื่อย ไม่สนุก แต่เราจะรู้ว่ามันจะนำไปสู่จุดประสงค์ที่เราต้องการ เป็นสิ่งที่เราเชื่อ เป็นความเชื่อที่เป็นวัตถุประสงค์ในการดำเนินชีวิตของเรา- Potential (ศักยภาพ) เป็นงานที่ทำแล้วรู้ว่าตอนนี้ไม่สนุก แต่เรารู้ว่าในอนาคต งานนี้จะทำให้เราเติบโตและพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง2E กับ 1I แรงจูงใจทางอ้อม (ไม่ดี) มีดังนี้- Emotional pressure (ความกดดันทางอารมณ์)คือ ความรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะรู้สึกผิด รู้สึกละอาย ถ้าไม่ทำ เช่น วัฒนธรรมความไม่พูด เพราะกลัวผู้อาวุโส สามารถสร้างความกดดันทำนองนี้ได้ หรือการได้รับความกดดันจากผู้ที่เป็น Hippo ในที่นี่ Hippo ไม่ใช่สัตว์จากแอฟริกา แต่ย่อมาจาก Highest paid person's opinion หรือคนที่มีตำแหน่งสูงสุด และได้รับค่าจ้างสูงสุด โดยคนประเภทนี้ จะมีอิทธิพลต่อความกดดันทางอารมณ์มากๆ อาจทำให้คนในองค์กรเกิดความรู้สึกว่า พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนที่เป็น Hippo จะตัดสินใจโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับผม- Economie pressure (ความกดดันทางเศรษฐกิจ)คือ การจ่ายค่าตอบแทนให้คนที่ทำงานกับเราอย่างยุติธรรมที่สุด แต่ต้องระวังว่า ไม่ให้ "เงิน" เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาอยากทำงานกับเรา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ความสุขเรื่องอื่นจะหายไปทั้งหมด เราต้องเชื่อว่า ถ้าคนที่มาทำงานเพราะแรงจูงใจเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เขามีความสุขนั่นเอง- Inertia (ความเฉื่อย)เป็นแรงจูงใจที่ทำให้เราลุกขึ้นมาแล้ว ก็ทำงานเหมือนเมื่อวานนี้ เป็นแรงจูงใจที่น่ากลัวที่สุดและดูยากที่สุด เพราะเราจะไม่รู้เลยว่า เราทำงานนี้อยู่ทำไม แรงเฉื่อยนี้จะสร้างความเสียหายกับงานมากมี่สุด คนที่หมดไฟ คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจากงาน มักมาจากความเฉื่อยในการทำงานทั้งสิ้นเมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว ทุกคนควรที่จะออกแบบงานให้ดี เพื่อให้เกิด 3P ให้มากที่สุด และระวังไม่ให้เกิด 2E กับ 1I นั่นเองครับจัดการทีมในหัวข้อสุดท้ายนี้ จะเป็นการอธิบายถึงวิธีการจัดการทีม เพราะทีม คือ คนทุกคนที่ทำงานร่วมกัน การจัดการทีมเพื่อให้ทุกคนสามารถดึงประสิทธิภาพของตัวเอง และนำมาใช้ในการทำงานร่วมกันได้มากที่สุด ส่วนตัวมินเชื่อว่า 99% ของทีมที่สามารถสร้างประสิทธิภาพได้ดีที่สุด จะสามารถพาองค์กรหรือธุรกิจไปได้ไกลมากขึ้น และแอดจึงขอหยิบยกตัวอย่างจากหัวข้อ "การให้เกียรติก็เหมือนกับอากาศ" ซึ่งเรียกได้ว่าเปรียบเสมือนฐานชั้นแรกในการสร้างความเชื่อใจ และทำให้ทีมพัฒนาในขั้นถัดๆ ไป มากขึ้นครับ- การให้เกียรติก็เหมือนกับอากาศ (เนื้อหาจากหน้าที่ 220-230)โดยคุณ รวิศ ได้ทำการยกตัวอย่างจาก Harvard Business Review เรียบเรียงโดย คริสตี้ โรเจอร์ส (Kristie Rogers) มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งเคยทำการสำรวจคนที่ทำงานกว่า 20,000 คน มากมายหลายสาขาอาชีพทั่วโลก แล้วพบว่าการได้รับการให้เกียรติ โดยเฉพาะจากหัวหน้า คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกดีหรือแย่กับงานนั่นเอง และนี่ คือ นิยามของคำว่า "ให้เกียรติ หรือ respect" ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองประเภท ได้แก่1. Owed Respectคือการส่งสัญญาณว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นเท่าเทียมกัน และทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ถ้าหากองค์กรหรือกลุ่มใดขาดความให้เกียรติ สิ่งที่เราจะพบบ่อยๆ คือ การใช้อำนาจในทางที่ผิดของหัวหน้า และการที่ทีมงานรู้สึกขาดความมั่นคงในหน้าที่การงาน2. Earned Respectคือการส่งสัญญาณว่าคนที่ทำงานได้ดี มีผลงาน หรือพฤติกรรมที่ดีจะได้รับการยอมรับ ซึ่งเป็นลักษณะของการให้เกียรติแก่คนที่สามารถทำผลงานได้ดี และเป็นการส่งสัญญาณว่าองค์กรให้ความสำคัญกับผลงานนั้นฉะนั้น สิ่งที่จะกล่าวจากการให้เกียรติแบบที่กล่าวไปข้างต้น ควรที่จะหาจุดสมดุลระหว่างการให้เกียรติ ทั้งแบบ Owed Respect และ Earned Respect เพราะจะส่งผลต่อการพัฒนาและการมองเห็น "ตัวตน" ของแต่ละคนโดยตรง ซึ่งยังส่งผลต่อเส้นทางอาชีพ รวมไปถึงความกระหายในการเติบโตของหน้าที่การงานอีกด้วยเปรียบเสมือนประโยคหนึ่งจาก Crucial Conversations ที่ได้เขียนไว้ว่า"Respect is like air, you don't really notice it until it's not there - and then it's all you notice." "การให้เกียรติกันก็เหมือนกับอากาศ ตราบใดที่มันยังอยู่ก็ไม่มีใครนึกถึง แต่เมื่อมันหายไป มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนคิดถึง"หวังว่า การรีวิวหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่าน ในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง ธุรกิจ หรือทีมในองค์กรไม่มากก็น้อยนะครับ สุดท้ายนี้ ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับ Book Review By Kakommz ครั้งหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ ผู้อ่านที่น่ารักทุกคนAbout Fact- หนังสือ "SUPER PRODUCTIVE" สามารถหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือ SE-ED, นายอินทร์, B2S ทุกสาขา และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป- ราคา 219 บาทภาพหน้าปกโดยผู้เขียนขอขอบคุณภาพประกอบโดยภาพจัดการตัวเอง โดย Mediamodifierภาพทำสิ่งใหม่ โดย geraltภาพจัดการธุรกิจ โดย Free-Photosภาพวัฒนธรรมองค์กร โดย mohamed_hassanภาพจัดการทีม โดย StartupStockPhotosภาพให้เกียรติ โดย johnhainบทความ Book Review อื่นๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน- Book Review By Kakommz : เป็นเราคือพิเศษ- Book Review By Kakommz : รื้อ สร้าง ต่าง โต REINVENT- Book Review : Future Mindset เมื่อวิธีคิดที่คุณมี ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้- Review Book : โลกนี้สอนให้รู้ว่า...- Review Book : Speech Secret เทคนิคการพูด เพื่อความสำเร็จก้าวหน้า