Baraka : ชีวิตบนสายพาน Baraka (1992) กำกับโดย Ron Fricke เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ไม่มีการเล่าเรื่องแบบใช้เรื่องราว ตัวละคร หรือบทสนทนาใดๆ แต่ใช้ชุดภาพเคลื่อนไหวหลายๆชุดมาเรียงต่อกัน ชนกัน ตามจังหวะ เพื่อให้ความหมาย เกิดเป็นเรื่องราวในตัวโดยไม่ต้องใช้แม้แต่ผู้บรรยาย ซึ่งจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้แน่นอนว่าอยู่ที่เรื่องของภาพที่สวยงาม บวกกับจังหวะการตัดกับเสียงดนตรีที่ดึงดูดผู้ชมให้อยู่กับเรื่องราวได้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเล่าเรื่องได้แม้ไม่มีการเล่าจากตัวละครหรือบทบรรยาย ถึงแม้จะมีบางจุดที่จังหวะอาจจะโดด หรือยืดแบบซ้ำซากจนเรื่องราวไม่เดินหน้าอย่างเรื่องราวในช่วงท้ายหลังจากชุดภาพสงคราม แต่โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีในรูปแบบการเล่าที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ที่ถือว่าทำได้ยากและมีข้อจำกัดในการเล่าหลายอย่าง และที่สำคัญสารที่อยู่ในภาพยนตร์สามารถส่งถึงผู้ชมได้โดยไม่ได้ทิ้งคนดู ซึ่งผู้ชมแต่ละคนนั้นก็จะได้รับสารในมุมมองที่ต่างกันออกไปตามประสบการณ์ และองค์ความรู้ ถ้าจะพูดในด้านเนื้อหา ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอด “วิถีของมนุษย์” ออกมาได้อย่างครอบคลุม ทั้งในเรื่องชีวิตมนุษย์กับความเชื่อ ธรรมชาติ การพัฒนา สังคม และความขัดแย้ง ซึ่งหลังจากดูฉันต้องกลับมานั่งตั้งคำถามกับตัวเอง กับชีวิต ว่าตกลงที่เราอยู่ในสังคมนี้เพราะเราอยากอยู่ หรืออยู่เพราะมันต้องอยู่ ซึ่งในที่สุดแล้วเราอาจจะไม่เคยมีอิสรภาพและตัวตนจริงๆเลยก็เป็นได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราตั้งคำถามตลอดเวลา เราสามารถเลือกชะตาชีวิตตัวเองได้ไหม? เรามีอิสระจริงๆในการใช้ชีวิตบนโลกนี้หรือเปล่า? หรือเราแค่กำลังไหลไปตามสายพานที่เป็นกรอบของสังคม ภาพของรถยนต์บนถนนที่ไหลไปตามจังหวะของสัญญาณไฟ ภาพผู้คนที่เดินวนเข้าออกสถานีรถไฟ ตัดสลับกับลูกเจี๊ยบที่ไหลไปตามสายพานเพื่อผ่านการคัด จนในที่สุดก็กลายมาเป็นแม่ไก่ที่ชีวิตอยู่เพื่อออกไข่ในกรงแคบๆ มอนทาจเหล่านี้ในภาพยนตร์ ยังคงติดอยู่ในหัวของฉันมันตอกย้ำความเป็นสังคมในทุกวันนี้ได้อย่างดีและทำให้รู้สึกขมขื่น สังคมที่กำลังไหลเวียนขับเคลื่อนอยู่ภายในกรอบของกฎเกณฑ์ บรรทัดฐานบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ตามการพัฒนาเทคโนโลยี รวมไปถึงความสูญเสียจากสงครามและความขัดแย้ง เหตุการณ์ การขับเคลื่อน การเปลี่ยนผ่าน ทุกอย่างตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันถูกซึมซับก่อร่างจนกลายเป็นกรอบของสังคม ทุกวันนี้ผู้คนมีกรอบและช่วงชีวิตที่คล้ายๆกัน คือการเกิดมา เข้าเรียนศึกษาเพื่อทำงาน แก่ แล้วก็ตาย เป็นวงจรชีวิตตามช่วงวัย ตามค่านิยมความเชื่อ ตามหลักสูตรความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบโลกทุนนิยมและฉันเชื่อว่าเราไม่สามารถหนีจากครรลองของสังคมเหล่านี้ได้ ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ และมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องพึ่งพิงกันและกัน ซึ่งการเชื่อมโยงการเป็นสังคมย่อมต้องเกิดกรอบบางอย่างที่ทำให้เราคงอยู่ในสังคมและมีชีวิตรอดบนโลกนี้ได้ คงเหมือนกับเหล่ามดเองที่ต่างก็เกิดมามีหน้าที่บางอย่างที่ต้องทำ ตามวิถีของมด มดงานก็ต้องทำงาน พญามดก็ต้องออกไข่เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ มันไม่ใช่แค่รูปแบบทางสังคม แต่มันเป็นรูปแบบทางธรรมชาติของโลก ของสิ่งมีชีวิต ถ้าเช่นนั้นเราอาจสรุปได้ว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก เราถูกกำหนดพ่อแม่ ฐานะ และโอกาส ตามที่สังคมได้วางกรอบไว้ให้ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วการมีชีวิตอยู่อาจเป็นแค่การพยายามมีตัวตนในสังคมนี้และตายไป การพยายามค้นหาความหมายในการมีชีวิตจึงนำมาซึ่งการศึกษา ค้นพบปรัชญาที่เป็นความจริงบนโลกบางอย่าง ถ้าให้กล่าวในเชิงปรัชญาของศาสนาพุทธ การค้นหาทางสู่นิพพานหรือการไม่เวียนว่ายตายเกิดนับเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าเช่นนั้นการหลุดจากกรอบสังคม เราจะต้องหลุดพ้นทางโลก ทำให้ตัวตนของเราหายไป เพื่อนำไปสู่บางสิ่งที่เรียกได้ว่า free will เท่านั้นหรือ แล้วมันคือ free will จริงๆ หรือแค่แนวทางที่เป็นกรอบเพื่อนำไปสู่ free will เทียมกันแน่ ถ้าอย่างนั้นการมีอิสรภาพที่แท้จริงในชีวิตคงยากเกินกว่าชีวิตหนึ่งจะทำได้ การไขว่หาความเป็นอิสระจากสังคมอาจไม่ใช่ทางออกที่มนุษย์หลายคนใฝ่หา ตัวฉันเองก็ยังอยากที่จะมีตัวตนในสังคมนี้ และในขณะเดียวกันก็ยังคงล่องลอยและหาสิ่งยึดเหนี่ยวในการใช้ชีวิตบนความเบื่อหน่าย ฉันเชื่อว่าหลายๆคนคงเบื่อหน่ายเหมือนกับฉัน และกำลังพยายามค้นหาตัวตน ค้นหาแนวทางการใช้ชีวิตที่จะเติมเต็ม และทำให้เรามีความสุขที่สุดบนครรลอง หรือสายพานสังคมเส้นนี้ ท้ายที่สุดเราอาจจะไม่ถามว่าทำไมเราถึงเกิดมา? แต่อาจจะถามแทนว่าเราจะใช้ชีวิตบนสายพานของโลกใบนี้ยังไงให้มีความสุขที่สุดมากกว่า หากคุณมีโอกาสอยากให้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณอาจได้มุมมองเกี่ยวกับชีวิตในรูปแบบของคุณเองภาพประกอบจาก : https://www.imdb.com/title/tt0103767