ในวันที่ 20 เมษายน 2564 ที่ผ่านมาบริษัท Apple เปิดตัว AirTag ซึ่งคืออุปกรณ์เสริมชิ้นเล็กที่มีดีไซด์เรียบหรูดูดีสไตล์Appls ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่มากมาย หลัก ๆ เลยใช้ในการค้นหาสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่จำกัดด้วยว่าสิ่งของนั้นจะเป็นอะไร แค่เกริ่นมาแค่นี้เพื่อน ๆ หลายคนก็เริ่มที่จะสนใจกันแล้วใช่มั้ยละคะ วันนี้แอดเลยถือโอกาสจะพาเพื่อน ๆ มาดูกันว่า ทำไม AirTag ถึงเป็นไอเทมใหม่มาแรงของ Apple และถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้างขนาดนี้และปิดท้ายว่าควรเคาะรึเปล่าสำหรับเจ้าอุปกรณ์ AirTag หากพร้อมแล้ว ก็ตามแอดมากันเลย ^^ ดีไซน์สวยหรูน่าพกสไตล์ Apple หากเพื่อน ๆ คนไหนเป็นสาวกและ FC เหล่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็น Iphoe Ipad AirPods สิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นนั้นคือ 'การดีไซน์' ซึ่ง AirTag จะมีลักษณะเด่นคือเป็นรูปร่างทรงกลม เล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบาเหมาะแก่การพกพามาก ๆ และในวงกลมนั้นจะมีสีตัดกันคือดำ-เทา และความเก๋คือมีสัญลักษณ์ Apple อยู่ตรงกลางทำให้มีความ Pop up โดดเด่นออกมา อีกทั้งในวงกลมจะมีเขียนคำว่า AirTag Designed by Apple in California บอกเลยว่าแค่พกก็เก๋เท่สุด ๆ ! อีกทั้งทาง Apple คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของโลกอยู่เสมอ โดย AirTag นั้นทำจากวัสดุสแตนเลสสตีลขัดเงา และใช้กีบุกรีไซเคิล 100% ของแผงวงจรหลัก ปลอดสารอันตราย และประหยัดพลังงานอีกด้วย อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ทาง Apple ใช้เยื่อไม้ที่ผ่านการรีไซเคิลหรือมาจากป่า บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย คุณสมบัติพิเศษของตัว AirTag โดยแค่ดีไซน์ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวตัดสินว่าจะเคาะหรือไม่เคาะใช่ไหมละคะ แอดจะพามาดูในเรื่องของคุณสมบัติของ AirTag กันบ้าง โดยอุปกรณ์ดังกล่าวยังสามารถทนน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP672 ได้อีกด้วย และคุณสมบัติหนึ่งที่จะเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการเชื่อมต่อคือ เรานำ AirTag มาอยู่ใกล้กับ iPhone เพียงแค่นี้อุปกรณ์ทั้งสองก็จะเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะมีวิธีการเชื่อมต่อคล้าย ๆ กับ AirPods นั้นเองค่ะ หลังจากเชื่อมต่อแล้วเราก็สามารถที่จะตั้งชื่อและเลือก AirTag ว่าจะให้คู่กับสิ่งของอะไร บอกเลยว่าการใช้งานง่ายมาก ที่สำคัญยังมีลำโพงในการส่งเสียงเพื่อระบุ Location ของ AirTag ดังนั้นไม่ต้องกลัวหายเลยละค่ะ การค้นหาและตำแหน่งที่ตั้งจริงของ AirTag หนึ่งในฟังก์ชั่นที่ทำเอาหลาย ๆ คนเลิฟนั้นคือ การค้นหาและตำแหน่งที่ตั้งจริงของ AirTag นั้นเองละค่ะ โดยเมื่อเราทำการตั้งค่าชื่อสิ่งของต่าง ๆ กับ AirTag เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งของ เหล่านั้นก็จะปรากฏในหน้าของแอปค้นหาของดังในภาพเลยค่ะ ซึ่งเราสามารถกดดูตำแหน่งปัจจุบันและตำแหน่งสุดท้ายที่วางอยู่ได้อีกด้วย (โอ้โห้!) แต่หากเราไม่สามารถหาของเจออีก! แต่ของนั้น ๆ อยู่ในระยะสัญญาณของ Bluetooth เราก็สามารถสั่งให้ AirTag ของเราส่งเสียงเพื่อช่วยบอกตำแหน่งที่ตั้งได้อย่างง่ายดาย หาก AirTag มีการสูญหายแทนละ? อุปกรณ์ AirTag เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการค้นหาสิ่งของต่าง ๆ ก็จริง แต่แอดก็เชื่อว่าเพื่อน ๆ คนมีคำถามว่า 'หากAirTag มีการสูญหายแทนละ?' จะทำอย่างไร โดย Apple ก็มีระบบ Precision Finding5 โดยใช้ระยะสัญญาณของBluetooth เพื่อบอกระยะห่างและระยะทางที่ AirTag ของเราอยู่ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะใช้จะพาเราไปยังตำแหน่งของAirTag ได้อย่างแม่นยำ โดยจะใช้ทั้งเสียง การสั่น และภาพในการนำทางนั้นเองค่ะ แต่หากในกรณีของ AirTag อยู่นอกเหนือระยะของ Bluetooth ทาง Apple ก็จะใช้อุปกรณ์ Apple นับพันล้านเครื่องในเครือข่ายในการช่วยค้นหาแล้วส่งตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดเจนกลับมาสู่เรานั้นเอง ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะไม่มีอุปกรณ์ iOS ในการค้นหาแต่ AirTag แยกกับเราเป็นเวลานาน ก็จะมีการเล่นเสียงเมื่อมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกความสนใจ บอกเลยว่าปลอดภัยหายห่วง AirTag ไม่หายไปไหนแน่นอนค่ะ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของอุปกรณ์ AirTag ซึ่งหากใคร concern เกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว บอกเลยว่า AirTag มีการเก็บรักษาข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งเป็นแบบส่วนตัว ซึ่งจะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลและประวัติของที่ตั้งเอาไว้ ดังนั้นจะทีแค่ตัวเราเท่านั้นที่จะเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งได้ อีกทั้งเพิ่มความปลอดภัยคูณสองโดย ป้องกันการติดตามโดยไม่พึงประสงค์ เพิ่มเติมคือ อุปกรณ์ iOS ก็สามารถตรวจจับ AirTag ที่ไม่ได้อยู่กับเจ้าของ และบอกให้เรารู้หากมี AirTag ที่ไม่รู้จักไปยังที่ต่าง ๆ พร้อมกับผู้ใช้ สุดท้ายในเรื่องราคาแอดบอกเลยว่าน่ารักและจับต้องได้อย่างแน่นอน ซึ่ง Airtag มีการจัดจำหน่ายในแบบแพ็ค 1 ชิ้น990 บาท และ 4 ชิ้นใน 3,390 บาท สามารถซื้อ ผ่านทาง apple.com/th และส่วน Apple Store ในสาขาต่างๆ ซึ่งทาง Apple จะให้เปิดสั่งจองล่วงหน้าในวันที่ 23 เมษายน 2564 ที่กำลังจะถึงและจะมีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 เมษายน 2564 นี้เองละค่ะ หากเพื่อน ๆ สนใจอุปกรณ์จิ๋วที่มีชื่อว่า Airtag บอกเลยว่าอย่าลังเลค่ะควรเคาะมากแม่! เครดิตภาพหน้าปก ภาพหน้าปก เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบน App TrueID โหลดเลย ฟรี !