"รู้ไหม..?คนเราสามารถเก่งภาษาได้ภายใน 6 เดือน!"ยุคนี้คงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า "เก่งภาษามีชัยไปกว่าครึ่ง" ไม่ว่าจะหน่วยงานไหน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างก็ต้องการคนมีความรู้ความสามารถด้านภาษาเข้าไปทำงานให้ การรับสมัครงานจึงต้องการคุณสมบัติด้านภาษาด้วยแทบจะทุกตำแหน่ง และจะมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต คนรุ่นใหม่อาจไม่มีปัญหามากนัก เพราะหลักสูตรในปัจจุบันเริ่มเน้นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษและภาษาที่สามตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาแล้ว ปัญหาจึงมักเกิดขึ้นกับคน Gen x และ Gen Y ที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทำงาน เนื่องจากหลายคนไม่ได้มีพื้นฐานที่แน่นมากพอมาตั้งแต่ตอนเรียน เมื่อถึงวัยทำงานก็ไม่มีเวลาที่จะไปเรียนรู้เพิ่มเติมสักเท่าไหร่ แต่ของมันก็ต้องใช้!บทความนี้มีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ สามารถเก่งภาษาได้ภายใน 6 เดือน มาฝากค่ะ โดยถอดเกร็ดความรู้มาจากนักพูดเวที TED Talks ทอล์คโชว์ยอดนิยมที่สร้างความรู้และแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ และนำมาประยุกต์ใช้ตามสไตล์ตัวเองแล้วพบว่าได้ผลค่ะ เคล็ดลับนี้มาจากคุณ Chris Lonsdale ซึ่งเป็นทั้งนักภาษาศาสตร์ นักจิตวิทยา และนักวิชาการการศึกษา จากประเทศนิวซีแลนด์ค่ะ คุณ Chris ยังเป็นผู้คิดค้นระบบการเรียนภาษาอังกฤษแบบกังฟู (the Kungfu English system) และยังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือเรื่อง The Third Ear ซึ่งบอกเล่าถึงเทคนิคการเก่งภาษาการเรียนภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาดั้งเดิมของเรา อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะใคร ๆ ก็เรียนกัน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาและอาศัยประสบการณ์ในการใช้จริงประมาณหนึ่ง คำถามคือ "เราจะสามารถเรียนรู้ภาษาอื่นให้เร็วขึ้นได้อย่างไร?" คุณ Chris Lonsdale เฝ้าครุ่นคิดหาคำตอบให้กับคำถามมาเนิ่นนาน จากการตั้งสมมติฐาน และทดลองปฏิบัติกับคนรอบตัว ในที่สุดเขาก็ตกผลึกและคิดค้นรูปแบบวิธีที่จะทำให้มนุษย์เราสามารถเรียนรู้ภาษาจนใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติได้รวดเร็วขึ้น ถึงขนาดที่ใช้ระยะเวลาแค่ 6 เดือน!วิธีในการเรียนรู้นั้นมีหลากหลายวิธี แต่คุณ Chris Lonsdale ได้ตกผลึกและจัดเรียงลำดับตามความสำคัญในการปฏิบัติมาให้เราได้ทดลองนำไปใช้กันแล้ว และต่อไปนี้คือ 7 วิธี จากเคล็ดลับของคุณ Chris Lonsdale และการนำไปประยุกต์ใช้ตามสไตล์ของผู้เขียนเอง ที่พบว่าได้ผลจริง ๆ ค่ะ ไปดูกันว่ามีอะไรบ้างวิธีที่ 1 : ฝึกฟังให้มากที่สุดทักษะที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของการเรียนรู้ภาษาคือ "การฟัง" ให้นึกถึงตอนที่เรายังเป็นเด็กทารก สิ่งที่แม่ป้อนเข้าสู่สมองเราก็คือการพูดคุย เพลงกล่อมนอน เราสามารถเรียนรู้ที่จะพูดและเข้าใจภาษาได้จากการฟังเสียงคนที่เลี้ยงดูเราไปเรื่อย ๆ การเรียนภาษาก็เช่นกัน ในขั้นแรกนั้นเราต้องฝึกสมองเราให้คุ้นชินกับภาษานั้น ๆ เสียก่อน เป็นการสาดความรู้เข้าใส่สมอง ก่อนนำไปจัดเรียงให้เป็นรูปเป็นร่างในขั้นตอนต่อไป โดยการฝึกฟังก้สามารถทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันค่ะ จากการฟังคลิปใน Youtube, Podcast หรือรายการทีวีช่องที่เป็นภาษานั้น ๆ เปิดทิ้งไว้แล้วฟังไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่เข้าใจความหมายก็ไม่เป็นไร ให้โฟกัสที่จังหวะ น้ำเสียงในการพูด รูปแบบการออกเสียง ซึ่งจะทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับรูปแบบนั้นมาโดยไม่รู้ตัววิธีที่ 2 : ทำความเข้าใจภาษาทำความเข้าใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การเข้าใจความหมายนะคะ แต่รวมไปถึงภาษากาย อารมณ์ของคำ ๆ นั้น เหมือนเวลาที่มีใครพูดถึงอาหารที่เราชอบ หรือสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือคำทั่วไปอย่างเช่น เหม็น ร้อน ปวดหัว เราจะมีปฏิกิริยาทางร่างกายต่อคำแต่ละคำแตกต่างกันไปตามความเข้าใจของเราต่อคำนั้น การเรียนภาษาก็เช่นกันค่ะ เมื่อเราเข้าใจในคำ ๆ นั้นอย่างลึกซึ้ง จะถูกถ่ายทอดผ่านภาษากายในขณะที่พูด และร่างกายจะเริ่มซึมซับจดจำไปเรื่อย ๆ และสามารถใช้มันได้อย่างอัตโนมัติในที่สุดวิธีที่ 3 : ฝึกแต่งประโยคจากคำศัพท์ต่าง ๆหลายคนประสบปัญหานี้ค่ะ จดจำคำศัพท์ได้เยอะ แต่พอเวลาใช้จริงกลับพูดไม่ออกเลยสักคำ นั่นเพราะไม่ได้มีการฝึกเรียบเรียงประโยค แค่รู้ศัพท์ รู้คำเชื่อม รู้คำคุณศัพท์ต่าง ๆ ก็สามารถนำมาจัดเรียงได้เยอะมากแล้วค่ะ อาจลองฝึกแบบไม่ต้องจริงจังมาก เอาคำนั้นคำนี้มาผสมกันไปเรื่อย ๆ จนได้ประโยคใหม่ ๆ ออกมา ฝึกเพลิน ๆ จะได้ไม่เครียดกับการกดดันตัวเอง และยังไม่ต้องสนใจการเรียงประโยคให้ถูกต้องเป๊ะตามไวยากรณ์ในตอนนี้หรอกนะคะ แค่จัดเรียงให้เป็นประโยคที่ใจความครบถ้วน ก็คุยกับฝรั่งได้ปร๋อแล้วล่ะค่ะวิธีที่ 4 : เพิ่มคลังคำศัพท์ให้ตัวเองเมื่อสามารถจัดเรียงประโยคได้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการพูดแล้วล่ะค่ะ เพราะมั่นใจว่าจะสามารถแต่งประโยคออกมาได้อย่างแน่นอน ที่เหลือคือการเพิ่มคลังคำศัพท์ให้ตัวเอง จะได้นำมาแต่งประโยคได้มากขึ้น วิธีการเพิ่มศัพท์คงต้องแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน บางคนอาจถนัดท่องดิคชันนารี แต่ส่วนตัวแนะนำเป็นการอ่านหนังสือหรือบทความภาษานั้น ๆ ค่ะ อาจไม่ต้องยาวมาก แต่มีในชีวิตประจำวัน อย่างบทความข่าว หรืออาจดูซีรีส์แบบไม่เปิด Subtitle ภาษาไทย ก็สามารถช่วยได้เช่นกันค่ะ แต่อาจจะดูช้าหน่อย เพราะต้องเปิดดิคเรื่อย ๆ ฮ่า ๆ ๆ ส่วนตัวมองว่าการจำศัพท์แบบไม่เจาะจงว่าต้องจำ แต่เป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกับสิ่งอื่นที่ทำอยู่แล้ว จะช่วยในการจดจำได้มากกว่าวิธีที่ 5 : หาเพื่อนที่พูดภาษานั้นมาช่วยฝึกสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยย่อมช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายขึ้น การหาเพื่อนชาวต่างชาติที่พูดภาษานั้นมาช่วยคุยกับเราเพื่อฝึก เป็นวิธีที่ช่วยได้มากจริง ๆ อาจจะคุยแบบสนทนาตัวต่อตัวเพื่อฝึกการฟัง การพูด และคุยแชทเพื่อฝึกการเขียน หากมีเพื่อนที่ยินดีช่วยแก้ไขเวลาเราพูดหรือเขียนผิดก็จะดีมาก ๆ เลย ใครสะดวกหน่อยก็อาจเข้าคอร์สเรียนภาษาที่มีครูเจ้าของภาษาคอยช่วยอยู่แล้ว แต่หากไม่สะดวก นี่เลยค่ะ โหลดแอปฟลิเคชัน Tinder มาเลย เพื่อนใน Tinder ที่ช่วยกันฝึกภาษามีอยู่เยอะค่ะ เผลอ ๆ อาจได้ทั้งภาษาทั้งแฟนเลยเลยก็ได้ ฮ่า ๆ ๆวิธีที่ 6 : เลียนแบบการอกเสียงและรูปปากใครว่าการออกเสียงไม่สำคัญ ถ้าเราออกเสียงได้ถูก เราก็จะสามารถฟังคำศัพท์นั้นออกเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากมีเวลา ลองสังเกตการออกเสียงและการใช้รูปปากในการออกเสียงแต่ละคำจากเจ้าของภาษา และพยายามเลียนแบบให้ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งวิธีนี้อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย และดูแปลกไปสักนิด แต่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องการพูดแล้ว ยังช่วยเสริมทักษะการฟังเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยค่ะวิธีที่ 7 : จดจำคำศัพท์เป็นภาพเมื่อเราเห็นคำว่า "ช้าง" ในกระดาษ หรือมีคนพูดคำนี้ สิ่งที่ปรากฎในหัวของเราคืออะไรคะ? ใช่ค่ะ ช้างนั่นเอง การท่องจำคำศัพท์อาจเหมาะกับบางคน แต่ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่หากอยากเรียนรู้ภาษาได้รวดเร็ว แนะนำให้จดจำคำศัพท์เป็นภาพหรือความรู้สึกแทนค่ะ เมื่อเห็นคำศัทพ์ที่แปลว่า "ร้อน" ให้รู้สึกร้อนไปด้วย เห็นคำศัพท์ที่แปลว่า "เป็ด" ก็ให้นึกถึงเป็ดไปด้วยระหว่างท่อง รับรองว่าจำได้ขึ้นใจแน่นอนค่ะบางข้ออาจเป็นวิธีพื้นฐานที่หลายคนรู้กันอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าต้องมีสักวิธีที่เมื่ออ่านแล้วต้องร้องว้าว เพราะไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย บางวิธีอาจไม่เหมาะกับทุกคนนะคะ สามารถนำไปปรับเปลี่ยนตามสไตล์ของเราได้เลย อย่างบทความนี้ก็ได้เทคนิคมาจากการฟังรายการ TED Talks แต่ต้องบอกเลยว่าในเนื้อหามีส่วนของเทคนิคจากตัวเราเองอยู่พอสมควร หลังจากนำมาใช้จริงและลองปรับให้เหมาะสม เทคนิคนั้นสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือวินัยและความต่อเนื่อง หากทำได้อย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ 6 เดือน ก็อาจจะมากเกินพอค่ะเพื่อน ๆ สามารถรับชม TED Talk ของคุณ Chris Lonsdale เพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลยค่ะ และหากเห็นว่ามีประโยชน์ อย่าลืมแชร์ออกไปให้เพื่อนคนอื่น ๆ ได้รับรู้ด้วยนะคะ ;) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)ขอบคุณภาพประกอบจาก : ภาพปกโดยผู้เขียน / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4