เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบกับปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ทำยังไงก็ไม่ขาวใสสักที ไม่ว่าจะทั้งบำรุงด้วย สกินแคร์จากหลายแบรนด์ดัง ราคาแพงขนาดไหนก็ไม่ว่า ทากันแดดด้วยค่า SPF มากกว่า 50 ขึ้นไปทุกวันแล้วก็ยังเอาไม่อยู่ วันนี้เรามีอีกหนึ่งตัวช่วย ที่จะช่วยให้ผิวหน้าที่สุดแสนจะหมองคล้ำไม่ไหวแล้วค่ะแม่ ให้กลับมาขาวใสวิ้งดังเดิมเหมือนลืมไปเลยว่าเคยหน้าหมองมาก่อน แม้ว่าจะทำความสะอาดล้ำลึกขนาดไหน บำรุงด้วยสกินแคร์ทุกคืนไม่บกพร่อง แต่แล้วทำไมเจ้าผิวหน้ายังคงหมองคล้ำอยู่ล่ะ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าทุกคนอาจจะหลงลืมบางขั้นบางตอนของการบำรุงผิวหน้าไป ลองนึกดูให้ดี ๆ สักนิด แต่หากนึกไม่ออกแล้วล่ะก็ ทางเราก็จะรีบเฉลย!! เพราะปัญหาของผิวหน้านั้นรอไม่ได้จริง ๆ ค่ะทุกคน วันนี้ปังหลายจึงขอนำเสนอวิธีการบำรุงผิวหน้าอีกหนึ่งวิธี ที่หลายคนมองว่าไม่สำคัญจึงมองข้าม และไม่สนใจ นั่นก็คือ ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้าด้วยการ “สครับผิวหน้า” นั่นเอง และเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจนะคะ ว่าการสครับผิวหน้านั้นเป็นวิธีที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณหรือไม่ เราจะขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักการสครับผิวหน้าสักนิด เป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะนำไปปฏิบัติกันค่ะ มาทำความรู้จักการสครับผิวหน้ากันเถอะ การสครับผิวหน้า คือ การทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดอีกหนึ่งขั้น รองจากการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง และโฟมล้างหน้า เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หมดอายุ หรือเซลล์ผิวเก่าที่เกิดจากมลภาวะทั้งฝุ่นและควันให้หลุดออกไป เปิดทางให้เซลล์ผิวใหม่ที่ใสกว่า ขาวกว่าและเนียนนุ่มกว่าเผยออกมาสู่สายตาประชาชี อีกทั้งยังช่วยขจัดสิ่งสกปรก คราบมันที่อุดตันตามรูขุมขนให้ออกมาได้ด้วย แล้วเราจำเป็นต้องสครับผิวหน้าหรือไม่ ? ปังหลายขอตอบว่า มีทั้ง “จำเป็น” และ “ไม่จำเป็น” ค่ะ ถ้าเราไม่สครับผิวหน้าเลยก็จะดีต่อผิว ที่ไม่ต้องถูกรบกวนจากการสครับ เพราะผิวหน้าของเรานั้นจะผลัดเซลล์ผิวเก่าเองอยู่แล้วทุก 28-30 วัน ตามแต่บุคคลค่ะ แต่ถ้าอยากจะสครับเพราะคิดว่าผิวหน้ายังสะอาดไม่เพียงพอก็ไม่ว่ากันค่ะพี่สาว แต่ควรทำแบบพอดี ไม่ถี่เกินไป โดยปกติแล้วในหนึ่งสัปดาห์ไม่ควรสครับหน้าเกิน 1-2 ครั้งค่ะ ใครทำเกินกว่านั้นระวังหน้าแห้งจนกู่ไม่กลับนะเออ เมื่อทำความรู้จักประโยชน์ของการสครับผิวหน้ากันไปบางส่วนแล้วนะคะ ต่อไปปังหลายจะขอนำเสนอ 7 วิธีการสครับผิวหน้า ให้สว่างกระจ่างใสที่ทุกคนรอคอยกันค่ะ ตามมากันเล้ยย1. ประเมินผิวหน้าตัวเองก่อนสครับหน้ากันนะ การประเมินผิวหน้าของตัวเองก่อนการสครับผิวหน้า จะช่วยให้การสครับผิวหน้าเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ เพราะผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องรู้จักสภาพผิวของตัวเองก่อน ว่าผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสมหรือผิวแพ้ง่าย เพื่อขั้นต่อไปจะได้หาวิธี และผลิตภัณฑ์การสครับที่เหมาะสมกับตัวเองได้นั่นเอง2. เลือกผลิตภัณฑ์การสครับผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิว สำหรับคนที่ผิวแห้ง หรือแพ้ง่าย ระคายเคืองง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์สครับผิวเม็ดเล็ก อย่าเลือกเม็ดหยาบ เพราะอาจทำให้ผิวเราระคายเคืองได้ง่ายค่ะ สำหรับคนผิวแพ้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์อ่อน ๆ ปราศจากแอลกอฮอล์ หรือถ้าใครแพ้น้ำหอมต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า No Fragrance หรือไม่มีกลิ่นหอมค่ะ ส่วนสภาพผิวอื่น ๆ สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม แต่ไม่ควรเลือกสครับที่ผิวเม็ดหยาบหรือเม็ดใหญ่มากเกินไป เพราะจะเป็นการรบกวนผิวและอาจทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ทางที่ดีควรเลือกใช้สครับที่ผิวเม็ดละเอียดเล็กเป็นดีที่สุดค่ะ ข้อควรระวังในการเลือกผลิตภัณฑ์ ทุกคนต้องอ่านฉลากดี ๆ นะคะ ว่าหยิบผลิตภัณฑ์สำหรับสครับผิวหน้าหรือผิวกายมา เพราะสครับสำหรับขัดผิวกายนั้น ไม่สามารถนำมาขัดผิวหน้าได้ ด้วยขนาดของเม็ดสครับและความหยาบที่มีมากกว่าผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับใบหน้าค่ะ และที่สำคัญที่สุดหากมีอาการแพ้ ให้ปรึกษาแพทย์ทันที อย่าเสียดายของหรือเงินเลยนะคะ เพราะถ้าแพ้แล้วยังไม่หยุดใช้ ผิวหน้าอาจจะพังมากกว่าเดิม3. การสครับผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิว ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะ ว่าการลงสครับเพื่อสครับผิวหน้านั้น ห้ามลงตอนหน้าแห้งเด็ดขาด เพราะเม็ดสครับอาจจะบาดหน้า ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นค่ะ ทางที่ดีหลังล้างหน้าเสร็จควรลงสครับบนหน้าที่ยังเปียกอยู่จะลดการบาดของเม็ดสครับต่อผิวหน้าได้ดีค่ะ สำหรับผิวแห้ง จริง ๆ ต้องบอกว่าการทำความสะอาดผิวด้วยการสครับสำหรับคนผิวแห้งนั้น อาจทำร้ายผิวมากกว่าให้ประโยชน์นะคะ เพราะการสครับผิวหน้าจะทำให้ผิวหน้าที่แห้งอยู่แล้ว แห้งยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ ดังนั้นหากไม่จำเป็น คนผิวแห้งควร “อยู่ห่าง” การสครับผิวหน้าไว้จะเป็นดีที่สุด แต่ถ้าหากอยากลองก็จะขอแนะนำว่าควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ละเอียดจริง ๆ และไม่ควรสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป ทางที่ดีหากอยากสครับผิวหน้าจริง ๆ ควรทำ 1-2 ครั้งต่อเดือน จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าค่ะ สำหรับผิวมัน หรือคนที่ผิวมันมากจริง ๆ สามารถสครับผิวหน้าได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เลยค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามสครับบริเวณที่รูขุมขนกว้างเด็ดขาด เพราะจะทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นอีก และจะทำให้ผิวหน้ามันเยิ้มกว่าเดิมค่ะ สำหรับผิวแพ้ง่าย ไม่ควรสครับหน้าบ่อยเกินไป ทางที่ดีในหนึ่งสัปดาห์ไม่ควรสครับหน้าเกิน 2 ครั้งจะไม่เป็นการรบกวนผิวจนเกินไปค่ะ4. นวดเบา ๆ จะเกิดผลกว่านะ ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบไหน ก็ควรเบามือในการสครับผิวนะ ควรนวดเบา ๆ ทั่วหน้าตามแนวรูขุมขน ไม่ควรถู เพราะอาจจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ และอาจจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิว หรือสิวอักเสบมากขึ้น5. จะสวยได้ต้องดูเวลาด้วยนะ ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการสครับผิวหน้ามากที่สุด คือ เวลากลางคืนค่ะ เพราะหลังจากที่เราทำการสครับผิวหน้าเสร็จแล้วเนี่ย สกินแคร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสกินแคร์ที่มีสารให้ความชุ่มชื้นต่อใบหน้าจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งในขณะที่เรานอนหลับนั้น เซลล์ผิวหน้าจะได้ทำการซ่อมแซม และฟื้นฟูในส่วนที่สูญเสียไปจากการสครับผิวหน้านั่นเอง6. อย่าลืมบำรุงผิวหลังจากสครับผิวเด็ดขาด หลังจากที่ทำการสครับผิวหน้าแล้ว ควรบำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์ที่มีสารให้ความชุ่มชื้น อาทิ มอยส์เจอไรเซอร์ เซรั่ม หรือมาส์กหน้าก่อนนอน เพื่อเป็นการคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า7. ข้อควรระวังหลังจากสครับผิวหน้า หลังการสครับผิวหน้าทุกครั้ง อย่างน้อย 2 วัน ควรจะหลีกเลี่ยงแสงแดดแรง ๆ เพราะการขัดผิวหน้าจะทำให้ผิวหน้าบางลง และมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจเป็นสาเหตุให้หน้าหมองคล้ำ เกิดสิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำเอาได้ง่าย ๆ ดังนั้นก่อนออกจากบ้าน ควรพกร่มหรือหมวกเอาไว้เพื่อบดบังแสงแดด ไม่ให้สัมผัสกับผิวหน้าโดยตรง สำคัญที่สุดเลย คือ ห้ามลืมทาครีมกันแดดเด็ดขาด ย้ำว่าเด็ดขาดนะคะ และควรเลือกกันแดดที่มีค่า SPF30 – 50 ใครผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้เกิน 50 น้าเพราะมันจะหนักหน้าเกินไป และต้องมีค่า PA+++ ด้วยเด้อ เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อนจะเลิศมากค่ะคุณพี่ จบครบใน 7 ขั้นตอนนี้ ทุกคนลองเอาไปทำตามกันดูนะคะ ว่าได้ผลหรือไม่ หวังว่าเคล็ดลับความสวยแบบง่าย ๆ นี้จะช่วยให้ทุกคนมีผิวหน้าที่สว่าง กระจ่างใสมากขึ้นนะคะ ใครทำแล้วได้ผลดี ลองมาแชร์กันน้า ส่วนปังหลายเองก็จะสรรหาเคล็ดลับความสวย ในแบบฉบับของปังหลาย มาแนะนำทุกคนอีกแน่นอนค่ะ ไว้เจอกันใหม่บทความหน้านะคะ ลาไปก่อนค่ะ บ๊ะบาย-----------------------------------------------------------------------------------------------------------บทความโดย ปังหลายภาพปก Create by ปังหลาย ภาพจาก 1 / 2 / 3ภาพประกอบที่ 1 / 2 / 3 / 4 / 5