"ทำอะไรก็ไม่เสร็จสักทีจะรักษาอาการสมาธิสั้นนี้ได้ยังไง..?"เชื่อว่าหลายคนประสบปัญหานี้กันมากกันไม่น้อยทีเดียว ในยุคที่อะไรก็รวดเร็วไปหมด แต่ละวันมีข่าวสารเข้ามาให้เสพไม่หยุดหย่อน สาระก็น่าสนใจ เรื่องไร้สาระก็สนุกดี หนังเพลงซีรีส์เยอะแยะไปหมด ทำงานได้แป๊บ ๆ เพื่อนก็ทักแชทมาชวนคุย อยากพักสายตาจากการทำงานสักนิด แต่เผลอแป๊บเดียวล่อไปแล้วสองชั่วโมง เคยเป็นกันใช่ไหมล่ะคะ? สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดภาวะสมาธิสั้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันส่งผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันมากทีเดียวภาวะสมาธิสั้น หรือชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Hyper Disoder หลายคนอาจเรียกคนสมาธิสั้นว่าเป็นพวกไฮเปอร์ อาการโดยรวมคือมักจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ไม่สามารถโฟกัสสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน ถูกรบกวนจากสิ่งรอบข้างได้ง่าย ซึ่งส่งผลต่อการทำงานในแง่ที่ว่า หลายครั้งไม่สามารถทำงานให้เสร็จลุล่วงภายในเวลาที่จำกัดได้ เพราะสูญเสียสมาธิในการโฟกัส ทำได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ที่แย่คือ หลายคนอาจถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน จากคนที่ไม่ได้เข้าใจในอาการนี้อย่างแท้จริงอาการสมาธิสั้น แม้จะส่งผลกระทบกับงานไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการจัดการแก้ปัญหา เพราะสมาธิสั้นเป็นเพียงอีกหนึ่งรูปแบบของมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่อาการผิดปกติ เราเพียงต้องรู้วิธีรับมือกับอาการนี้ และเลือกที่จะทำงานในวิธีที่เหมาะกับอาการเท่านั้นเองค่ะ ไปดูกันค่ะว่าเราจะจัดการกับมันยังไงได้บ้าง1. แบ่งงานที่ทำออกเป็นส่วนเล็ก ๆเพราะอาการสมาธิสั้นนั้นไม่สามารถจดจ่อกับอะไรนาน ๆ ได้ เพราะฉะนั้นหากยิ่งเป็นงานชิ้นโต สมองจะหลอกให้เรารู้สึกว่ามันหนักเกินไป ทำไปนิดเดียวก็อยากพัก อยากเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น และใช้เวลานานมากว่าจะกลับมาทำงานต่อได้ จึงดูเหมือนว่างานไม่คืบหน้าไปไหนสักที ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีแยกงานออกเป็นส่วน ๆ ดูค่ะ เช่น หากต้องเขียนหนังสือ 1 เล่ม แค่คิดก็เหนื่อยและเบื่อแล้ว ลองเปลี่ยนมาตั้งเป้าหมายของงานเป็น "เขียนหนังสือ 1 บท หรือ 1 หน้า" จะเป็นการหลอกสมองว่ามันไม่เยอะ สามารถฝืนใจตัวเองจนเสร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ได้ จากนั้นให้เวลาตัวเองพักเล็กน้อย แล้วเริ่มงานต่ออีก 1 บท หรือ 1 หน้า ไปเรื่อย ๆ เพื่อน ๆ สามารถกำหนดได้เองตามที่คิดว่าตัวเองจะโอเคที่สุดเลยค่ะ เทคนิคนี้ดีจริง การันตีจากการใช้จริงมาแล้ว ฮ่า ๆ2. แบ่งเวลาออกเป็นช่วง ๆหลายคนอาจไม่ถนัดการแบ่งงานออกเป็นส่วน เพราะบางงานอาจยากต่อการแบ่ง งั้นลองเปลี่ยนมาแบ่งเวลาออกเป็นช่วง ๆ แทนค่ะ ตามที่คิดว่าเหมาะสมกับเราเลย แต่แนะนำเป็นช่วงละ 25 นาที จะดีที่สุดค่ะ เป็นตัวเลขที่มีการวิจัยมาแล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด และถูกนำไปใช้กับเทคนิคบริหารจัดการเวลาแบบมะเขือเทศ หรือ Pomodoro Technique โดยในช่วง 25 นาที ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างเดียว ห้ามมีสิ่งใดมาแทรกเด็ดขาด แชทเด้งก็ห้ามตอบ (ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ) แฟนไลน์มาก็เมินใส่ (แล้วค่อยไปเคลียร์กันทีหลังนะ ฮ่า ๆ ๆ) พอครบ 25 นาทีแล้ว ให้พักสักประมาณ 5 - 10 นาที ช่วงนี้อยากส่อง Social media ยืดเส้นยืดสาย หรือตอบไลน์ที่ค้างอยู่ก็เต็มที่ได้เลย แต่ต้องมีวินัยนะคะ พอครบเวลาพักแล้ว ต้องกลับมาทำงานต่อตามเดิมอีก 25 นาที แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเวลาทำงาน หรือจนกว่าจะเสร็จ3. ใช้ Application ช่วยสิวิธีที่ 1 และ 2 ที่ว่ามาอาจจะยากอยู่สักหน่อยนะคะ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มีวินัย เพราะเสี่ยงต่อการวอกแวกสูงมาก เพื่อลดความวอกแวกลง และเพิ่มความโฟกัสมากขึ้น อาจลองใช้ Application ช่วยบริหารจัดการเวลาได้ค่ะ โดยตัว App จะบล็อคมือถือของเรา ไม่ให้สามารถส่อง Social media ได้ หากยังไม่ครบเวลาที่กำหนด เป็นการหักดิบแบบทำร้ายจิตใจมาก แต่ก็เพื่อผลลัพธ์ของงาน ก็อาจต้องยอมฝืนใจบ้าง สำหรับ Application ในการบริหารจัดการเวลามีหลายตัวเลยล่ะค่ะ เพื่อน ๆ ลองเสิร์ชด้วย Keyword ว่า Focus timer หรือ Pomodoro ดูนะคะ มีหลากหลายตัวให้เลือกตามความชอบเลย ทั้งระบบ iOS และ Android ค่ะ4. ตกแต่งสภาพแวดล้อมที่ช่วยผ่อนคลายในการทำงานหลายครั้งที่อาการสมาธิสั้นเกิดจากปัจจัยด้านความเครียด ความวิตกกังวล เวลาที่เรามีเรื่องมากมายให้คิดในหัว และยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ความวุ่นวายภายในก็แสดงออกมาภายนอกเช่นกันค่ะ อย่างการทำงานอยู่ดี ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนี้สินขึ้นมา ก็เลยละจากงานไปท่องอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลการหารายได้เสริม ทำให้งานไม่เสร็จสักที เรื่องรายได้เสริมก็ไม่ได้ข้อสรุปสักทีเนื่องจากต้องกลับมาทำงานต่อให้เสร็จ ลองปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ผ่อนคลายมากขึ้น เช่น หาต้นไม้มาวางใกล้ ๆ เปิดเพลงบรรเลงคลอเบา ๆ หรือฉีดสเปรย์กลิ่นหอมที่ช่วยบรรเทาอาการเครียด รวมทั้งการจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ เพราะเมื่อสมองเราโล่งจากความวิตกกังวลหรือความเครียด ก็จะมีพื้นที่ให้ได้โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มากขึ้น5. ทำความเข้าใจกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเพราะวิธีการทำงานที่อาจแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าเราไร้ประสิทธิภาพ แค่อาจต้องปรับให้เหมาะสมกับธรรมชาติของตัวเราเท่านั้นเองค่ะ การพูดคุยทำความเข้าใจกับหัวหน้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาในการสั่งงานโดยตรง และเพื่อนร่วมงานที่ต้องประสานงานกัน ถึงรูปแบบการทำงานของเราที่อาจแตกต่าง จะเป็นการดีมากค่ะ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. หากเป็นไปได้ เลือกทำงานที่รักและอยากทำจริง ๆไม่ว่าใครก็ตาม หากรักในงานที่ทำแล้ว ยอมทำสิ่งนั้นได้ออกมาดีที่สุด หนึ่งสาเหตุของการไม่โฟกัสงาน คือไม่ได้รู้สึกอินกับงานที่ทำจริง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบมากที่สุดในคนสมาธิสั้น โกัสยากก็อุปสรรคพอแล้ว ยังต้องฝืนใจโฟกัสในงานที่ไม่ชอบอีก ประสิทธิภาพจะลดลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ โดยธรรมชาติของมนุษย์จะใส่ใจและสามารถโฟกัสกับสิ่งที่ชอบและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำอยู่แล้ว แต่ก็เข้าใจในข้อจำกัดของหลายคน ว่างานที่ทำอยู่อาจไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังซักเท่าไหร่ แต่หากเป็นไปได้ หากสามารถเลือกที่จะทำในสิ่งที่รักและอยากทำจริง ๆ ได้ แม้จะมีอาการสมาธิสั้นก็จะไม่ใช่อุปสรรคใด ๆ เลยค่ะ ข้อจำกัดที่มีไม่ใช่ขีดจำกัดทางความสามารถ เพียงแค่เข้าใจในธรรมชาติของตัวเอง และหาวิธีรับมือที่เหมาะสม และใส่ใจที่อยากจะเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เพียงเท่านี้ข้อจำกัดก็จะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปค่ะ:) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)ขอบคุณภาพประกอบจาก ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3