1. เริ่มลงทุนก่อนมันไม่มีเวลาเมื่อมาถึงการลงทุน เริ่มต้นเร็วเท่าไร เราเป็นคนที่มีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น และอย่าลืมหรือศึกษาความรู้ในเรื่องที่เราลงทุนก่อน และสำรวจว่าเหมาะกับความชอบของเรามั้ย เหมาะกับนิสัยของเรามั้ย การเป็นคนใจร้อนในเรื่องที่ควรอดทนจะทำให้เราพลาดโอกาสในผลประโยชน์ที่ควรเป็นของเรามากขึ้น และการใจเย็นเกินไปในเรื่องที่ต้องใจร้อนสักหน่อยก็ทำให้เราอาจพลาดโอกาสในการตักตวงผลประโยชน์ที่ควรเป็นของเรา เราจึงควรรู้ว่าจังหวะไหนที่เราควรลงมือทำและช่วงจังหวะไหนที่เราควรอยู่เฉยๆ2. ลงทุนในสินทรัพย์ที่แท้จริงการลงทุนในทรัพย์สินที่แท้จริงนั้นจะช่วงสร้าง passive income หรือเงินที่ไหลเข้ามาแม้ตอนเรานอนหลับได้ เช่น ถ้าคุณไม่ขายบ้านและปล่อยเช่ากินรายเดือน บ้านที่คุณปล่อยเช่ากินรายเดือนก็จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่แท้จริง แต่การจะลงทุนในสินทรัพย์เช่นบ้านหรืออสังหาได้นั้น คุณต้องมีเงินก้อนโตก่อน แต่หากคุณไม่มีเงินก้อนนี้ คุณก็สามารถเอาเงินไปหลักไม่ถึงล้านไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน หุ้นกู้ หรือหุ้นปันผลได้ก่อนโดยไม่ต้องเป็นหนี้สินเชื่อบ้าน หรือธนาคาร3. อย่าประมาทเรื่องหนี้ในชีวิตของคนทำงานทุกคน ต้องมีเหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังบ้าง เงินต้นออกปลายเดือนไม่พอใช้ ไม่มีใครที่ไม่เคยประสบปัญหาเรื่องหนี้ โดยเฉพาะในยุคข้าวยากหมากแพง คนไม่มีงานทำกันเยอะ ตั้งแต่สมัยเด็กๆเรามักจะถูกสอนว่าเริ่มต้นที่ดีคืออย่าเป็นหนี้ ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนก็เห็นด้วย แตสิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้ก็คือโลกนี้มีหนี้ที่ดีและหนี้ที่ไม่ดี หนี้ที่ดีนั้นเป็นโอกาสในการสร้างทรัพย์สินที่เรามีให้เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เรากู้เงินมาซื้อบ้าน 1 ล้านบาท เพื่อขายต่อในราคา 1 ล้าน 5 แสนบาท หรือ 2 ล้านบาท หากที่ตรงนั้นทำเลดี มีที่จอดรถ ใกล้กับห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ผลต่างกำไรจากการขายบ้านได้ก็จะกลายเป็นรายได้ของเรา หรือเราจะไม่ลงทุนในบ้านแต่ลงทุนในหุ้นเพื่อเก็งกำไรก็ได้แต่การกู้เงินมหาศาลขนาดนั้นต้องได้รับเครดิตหรือความน่าเชื่อถือจากธนาคารก่อน เช่น รายได้ประจำย้อนหลังประจำปี ลายเซ็นของหัวหน้าที่เราทำงาน และต่างๆนาๆ ซึ่งในปัจจุบันการกู้เงินจากธนาคารไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น และหนี้ไม่ดีที่ผู้คนในยุคปัจจุบันติดกันส่วนมากก็คือหนี้บัตรเครดิต เครดิตบูโร ซึ่งใบหนึ่งสามารถกู้ได้เป็นแสนไปถึงหลักล้านเลยค่ะ และถ้ารวมดอกเบี้ยไปอีก เราปวดหัวแน่ๆค่ะ4. หาเงินให้มากกว่าเดิมเคยได้ยินวลีเด็ดที่ว่า อย่าดูหมิ่นเงินน้อย ไม่เลือกงานไม่ยากจนมั้ยคะ ถ้าเราลองเสียสละเวลาที่เราใช้ดูหนัง 5 ชั่วโมงต่อวัน สักสองสามชั่วโมงมาใช้ในการหารายได้เสริมเข้ากระเป่าตัวเอง และถ้าคุณอยากเป็นเศรษฐีเงินล้าน คุณก็ต้องทำ คนที่มีงานประจำอาจไม่กังวลเรื่องนี้ แต่ในอนาคต เราอาจสูญเสียงานที่เราทำเพราะการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ไร้ความผิดพลาดตามหนังสือเรื่อง 21 lessons for the 21st century ล่ะสิ่งที่คุณต้องทำคือมองหางานใหม่ หรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง และการจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้เนี้ยก็ต้องใช้เงินในการลงทุน เช่น เราอยากทำร้านขายชา แล้วถ้าเราไม่รู้สูตรที่ชงแล้วอร่อย ลูกค้าติด ลูกค้าชอบ สิ่งที่เราต้องทำก็คือการซื้อสูตร และหากไม่อยากเสียเงินก้อนโตกับความไม่รู้ ก็ต้องสละเวลาในการลองผิดลองถูกกับรสชาติชาด้วยตัวเองอยู่ดี ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องลงทุนหาที่เช่าทำเลดีๆ ดัดแปลงเป็นร้านชาที่มีที่นั่ง มีแอร์ มีบรรยากาศที่ลูกค้าอยากเข้ามานั่ง พักผ่อน ผ่อนคลาย และยังต้องคำนวนค่าวัตถุดิบที่เราใช้แต่ละเดือนเพื่อระวังไม่ให้เราขาดทุนอีกแต่ระหว่างที่คุณยังไม่ออกจากงานประจำ ไม่ต้องมองหาช่องทางในการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตัวเอง ก็สามารถดาวน์โหลดแบบสอบถามมาทำและสร้างรายได้จากการตอบแบบสอบถามแค่ 20-30 นาทีต่อวันได้ค่ะ5. บริหารเงินให้เป็นผู้เขียนเคยเห็นคนที่หาได้มากกว่าเดือนละสี่แสนกับการเปิดร้านขายชาที่เชียงราย แล้วจ่ายมากกว่าสี่แสนจนร้านเจ๊ง ถูกยึดและติดหนี้บัตรเครดิตเกือบสิบใบเป็นหลักสิบกว่าล้านเลยค่ะ ดังนั้น มันไม่สำคัญเลยค่ะว่าเงินเท่าไรที่คุณหามาได้ คุณบริหารเงินคุณยังไง ข้อนี้สำคัญกว่ามาก ซึ่งหลักการก็ไม่มีอะไรมาก ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หามาได้ แค่นี้เราก็เป็นคนรวยแล้วค่ะ หากเราบริหารเงินไม่คล่องจริงๆ หามาเท่าไรก็ไม่รู้เงินหายไปไหนหมด ผู้เขียนแนะนำให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวัน หรือโหลดแอปที่ช่วยแบ่งสัดส่วนด้านการเงินได้ค่ะ เรื่องนี้น่าจะช่วยได้ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปก / Canvaรูปภาพประกอบที่ 1 โดย QuinceCreative / 2 โดย PIRO4D / 3 โดย Rilsonav / 4 โดย mcmurryjulie / 5 โดย talhakhalil007 / Pixabay